6/20/2554

สู้หุ้น

คุณสุมาอี้เป็นคอลัมนิสต์ประจำ คอลัมน์ "มนุษย์เศรษฐกิจ 2.0" หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เป็นนักเขียนที่มีผลงานมาแล้วหลายเล่ม อาทิ ตลาดหุ้น The Survival Kit, วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง, มนุษย์เศรษฐกิจ 3.0, เอาตัวรอดด้วยทฤษฎีเกมส์ เป็นต้น ในขณะที่ชื่อ "สุมาอี้" โด่งดังในหมู่ Value Investor โดดเด่นที่หลักการวิเคราะห์หุ้น โดยมองที่ "มูลค่ากิจการในอนาคต" ตามกระแสหลัก (เมกะเทรนด์) ที่กำลังเติบโต

กรุงเทพธุรกิจ BizWeek มีนัดพูดคุยอัพเดตแนวคิดการลงทุนและอนาคตตลาดหุ้นที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งใน บรรยากาศสบายๆ ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทยที่กำลังผันผวนอย่างหนัก

“ทุกวันนี้ผมแทบไม่เคยดูราคาหุ้นเลย แม้แต่งบรายไตรมาสก็ไม่ค่อยดู” นรินทร์ กล่าว

นรินทร์ ไม่ใช่ "ซือหม่าอี้" (สุมาอี้) เสนาธิการและแม่ทัพใหญ่ "คู่ปรับ" คนสำคัญของ "ขงเบ้ง" ในอมตะวรรณกรรม "สามก๊ก" แต่นรินทร์กับซือหม่าอี้ ต่างก็มีสิ่งเหมือนกันคือ "ความสุขุมลุ่มลึก" ในการลงทุน..เป้าหมายเพื่อชัยชนะในการรบเช่นเดียวกัน

หลังจบการศึกษาวิศวกรรมไฟฟ้า (เกียรตินิยมอันดับสอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นรินทร์ได้ไปเรียนต่อ MBA ที่สหรัฐอเมริกาเอกวิชาการเงิน ได้ฟังชื่อวอร์เรน บัฟเฟตต์ จากอาจารย์ที่สอนบ่อยครั้งมาก จนเริ่มไปหาหนังสือชื่อ Buffet Way มาอ่านทำให้เริ่มสนใจเรื่องการลงทุนและได้ทดลองเปิดพอร์ตที่อเมริกาแต่ไม่ ได้จริงจังมากนัก

“หุ้นตัวแรกในชีวิตที่ผมซื้อ คือ หุ้นแมคโดนัลด์ เหตุที่ผมซื้อก็เพราะเป็นชื่อที่ "คุ้นเคย" คิดว่าน่าจะอุ่นใจได้ทั้งที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับผลประกอบการเลย หลังจากซื้อไปได้แค่สองสามวันราคาพุ่งขึ้นไปประมาณ 5% กว่า กำไรกว่า 300 เหรียญ ตอนนั้นเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องเลย กลัวว่าตอนนั่งเรียนอยู่ราคามันจะลงแล้วกำไร 300 กว่าเหรียญนั้น มันจะหายไปหมด แล้วมันก็หายจริงๆ จากกำไรกลายเป็นขาดทุนประมาณ 100 กว่าเหรียญ หน้าซีดเลย เป็นการขาดทุนหุ้นครั้งแรกในชีวิต โชคดีที่ราคาหุ้นขึ้นมาผมก็ขายออกไปได้กำไรนิดนึง"

ในมุมมองของนรินทร์ หุ้นที่ดีอาจไม่ใช่หุ้นที่ทำกำไรดีก็ได้ ถ้าหากราคาหุ้นสูงเกินไป นักลงทุนเอกของโลกที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะไม่ซื้อหุ้นที่มีราคาสูงเกิน กว่าราคาที่พวกเขาคิดว่าเป็นมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นตัวนั้น ไม่ว่าหุ้นนั้นจะเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีเพียงใด

นรินทร์เป็นอดีตผู้จัดการกองทุนร่วมลงทุนเอสเอ็มอี บลจ.วรรณ แต่เขาใช้ชีวิตอยู่ใน "ระบบ" ได้ไม่นาน ก็เลือกเดินในเส้นทาง "อาชีพอิสระ" เป็นนักลงทุน (วีไอ) เต็มตัวและทำงานเขียนหนังสือเลี้ยงปากท้อง ก่อตั้งสำนักพิมพ์ "เดคิสุงิ ดอทคอม" รองรับผลงานของตัวเอง และกำลังวางแผนจะตีพิมพ์หนังสือเล่มใหม่

เขาเล่าว่า ปี 2546 หลังเดินทางกลับเมืองไทย ตอนนั้น SET Index อยู่ที่ประมาณ 600-700 จุด เริ่มมีคนสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้นเพราะ SET เริ่มวิ่งมาจาก 300 จุด ปีนั้นถือเป็นครั้งแรกที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยเต็มตัว ช่วงแรกๆ ก็ยังไม่ค่อยรู้อะไร โดยเลือกลงทุนจากบริษัทที่รู้จักเป็นอย่างดีก่อน จำได้ว่าหุ้นตัวแรกที่ซื้อคือ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK)

“ช่วงแรกๆ ผมไฟแรงมากเริ่มขุดหุ้นขึ้นมาหาข้อมูลเพราะต้องการกำไรเยอะๆ เลยหาข้อมูลหนักตอนนั้นยังมองแบบสั้นๆ ปีต่อปีเท่านั้น”

เดินตามรอย 'เซียนหุ้นระดับโลก'

นรินทร์เริ่มค้นพบตัวเองว่า ตัวเองไม่เหมาะกับการลงทุนระยะสั้นเพราะต้องจดๆ จ้องๆ ราคาหุ้นจนเหมือนกับไปทำงานให้ตลาด ที่จริงแล้วเขาต้องการ "ให้เงินทำงานแทน" มากกว่า ผลตอบแทนที่ได้มาก็ไม่ได้มากมายอะไร ประกอบกับอยากใช้เวลาไปทำอย่างอื่นบ้าง จึงเริ่มศึกษาวิธีการลงทุนแบบ "แวลูอินเวสเตอร์" อย่างจริงจัง

เขาเชื่อว่าตลาดหุ้นนั้นไม่ได้มีประสิทธิภาพโดยสมบูรณ์ แต่ว่าตลาดหุ้นก็ฉลาดกว่าคนส่วนใหญ่ มิฉะนั้นทุกคนคงจะรวยกันหมด ถ้าเป็นวีไอสไตล์คลาสสิค เบนจามิน เกรแฮม จะเน้นคัดกรองหุ้นหาหุ้นที่ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ต่ำมากๆ พอราคาขึ้นมาก็ขายออกไป และมีความคิดว่าอนาคตเป็นสิ่งที่เชื่อไม่ได้ ขณะที่ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ จะให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ที่มองไม่เห็น เช่น แบรนด์ ฯลฯ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ให้ความสำคัญอย่างมากกับความสามารถของผู้บริหาร เป็นต้น

“ไม่ว่าใครจะมีแนวคิดอย่างไร สุดท้ายหัวใจสำคัญของวีไอมีเพียง 3 ข้อคือ หนึ่ง..การซื้อหุ้นไม่ใช่การซื้อกระดาษแต่เป็นการซื้อกิจการ สอง..ตลาดหุ้นไม่มีเหตุผล ต้องเอากำไรจากความไม่มีเหตุผล สาม..ต้องมี Margin of Safety ลงทุนที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่วัดได้”

นรินทร์ กล่าวว่า ส่วนตัวมีแนวทางการลงทุนคล้าย ปีเตอร์ ลินช์ มากที่สุด พูดแบบกว้างๆ คือ ลินช์ชอบหาหุ้น Growth Stock ที่คนธรรมดาสามารถหาหุ้นดีๆ ได้ด้วยตัวเอง เช่นการเดินตามท้องถนนแล้วไปเจอกิจการที่มีผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และเลือกหุ้นแบบนี้มา 4-5 ตัว ถือให้นานที่สุด

“ผมทดลองมาแล้วหลายแบบ วิธีแบบนี้น่าจะดีที่สุดสำหรับผม ในพอร์ต 5 ตัว อาจมี 1 ตัวที่ผลตอบแทนไม่เป็นดังหวัง 3 ตัวผลตอบแทนเป็นตามคาด และ 1 ตัวผลตอบแทนดีเกินคาด ซึ่งพอร์ตของผมก็เป็นแบบนี้จริงๆ”

นรินทร์ ให้ความมั่นใจว่าแนวทางการลงทุนแบบหุ้นคุณค่า สามารถนำมาปรับใช้กับตลาดหุ้นไทยได้ดีผลตอบแทนระยะยาวของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ก็พิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว


ตามหา 'มูลค่ากิจการ' ที่แท้จริง


ถามถึงวิธีการเลือกหุ้น นรินทร์ กล่าวว่า ส่วนตัวจะให้น้ำหนักกับ "ปัจจัยเชิงคุณภาพ" เช่น บริษัทนี้มีสินค้าหรือบริการอะไรที่มีแนวโน้มเติบโต, บริษัทนั้นต้องมีข้อได้เปรียบทางธุรกิจ, ต้องรู้ว่าคู่แข่งของบริษัทนั้นเป็นใคร, บริษัทต้องมีผู้บริหารที่มีความสามารถ(เก่ง) ฯลฯ

สำหรับ "ปัจจัยเชิงปริมาณ" ก็จะดูค่าพี/อีเรโช โดยนำกำไรปีล่าสุดมาเทียบกับงบการเงินตัดรายการพิเศษออกไป เมื่อคำนวนออกมาแล้ว "พี/อี เรโช ต้องไม่เกิน 10 เท่า" แต่ถ้าหุ้นตัวนั้น(กำไร)มีโอกาสเติบโตได้มาก อาจจะเลือกซื้อที่พี/อี 14-15 เท่าก็ได้ แต่ถ้าธุรกิจนั้นมีคู่แข่งมาก หาข้อได้เปรียบทางธุรกิจแทบไม่มี อัตรากำไรเหวี่ยงตัวมากจะเลือกลงทุน "พี/อี ไม่เกิน 7 เท่า" เท่านั้น

ต้องเลือกธุรกิจที่น่าสนใจให้ได้ก่อน..ไม่ใช่ให้น้ำหนักที่ตัวเลขทางการ เงินก่อน เมื่อเลือกธุรกิจที่ดีได้แล้วนรินทร์จะทำการวัดมูลค่าของกิจการเป็นขั้นตอน ต่อไป โดยคำนวณ "ส่วนลดกระแสเงินสด" (Discount Cash flow Model) ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่นักวิเคราะห์ใช้คำนวนหากระแสเงินสดในระยะยาวของ กิจการ โดยต้องประมาณการกระแสเงินสดของบริษัทในอนาคตหักด้วยต้นทุน นำมาเทียบกับราคาหุ้นในตลาดถ้า "มูลค่าในอนาคต" มากกว่า "ราคาตลาด" (มาก) ก็ "ซื้อ" และ "ถือไว้" และอย่าไปมองราคาในกระดานอีก

“หุ้นของบริษัทจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อสามารถผลิตกระแสเงินสดได้ แม้จะมีกำไรมากน้อยเท่าไรก็สำคัญน้อยกว่า แต่วิธีนี้อาจจะไม่เหมาะสมกับธุรกิจบางประเภท เช่น สถาบันการเงินเพราแยกกระแสเงินสดของกิจการโดยเฉพาะทำได้ยาก”

เมื่อเลือกธุรกิจที่มีอนาคตได้แล้ว คำนวณราคาที่เหมาะสมในอนาคตได้แล้ว จากนั้นก็ "รอเวลา" ที่เหมาะสมในการ "เข้าซื้อหุ้น" ขอให้ยึดหลักการว่า ธุรกิจจะมีมูลค่าขึ้นขึ้นอยู่กับอนาคต..ไม่ใช่อดีต ส่วนตัวจะถือหุ้นในพอร์ต 4-5 ตัวและ ถือให้ยาวที่สุดจนกว่ามูลค่าพื้นฐานของกิจการจะเปลี่ยนไป

สำหรับหุ้นที่นรินทร์ไม่นิยมลงทุนคือ "หุ้นเทิร์นอะราวด์" เขาให้เหตุผลว่าเพราะต้องมีการติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดไม่เหมาะสมกับการลง ทุนสไตล์ "ตั้งรับ" (Passive) ซึ่งเห็นนักลงทุนหลายคนชอบ "ตีซี้" กับฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ (IR) และผู้บริหารของบริษัท "แบบนั้นไม่ใช่สไตล์ผม"

“ผมคิดว่านักลงทุนที่ติดตามตลาดมากเกินไปมักตัดสินใจพลาด (เข้าสักวัน) ควรหาวิธีตัดสินใจให้น้อยลง อุปสรรคการลงทุนที่สำคัญที่สุดผมคิดว่า คือเรื่องของใจนี่แหละ”

ลงทุนตาม 'เมกะเทรนด์'

อีกสิ่งที่นรินทร์ให้ความสำคัญอย่างมากคือการลงทุนหุ้นที่อยู่ในกระแส หลัก (Mega Trend) เพราะจะเป็นตัวสนับสนุนการเติบโตของกิจการนั้นๆ แม้ธุรกิจจะดีเพียงใด ผู้บริหารมีความสามารถ แต่ถ้าไม่ได้กระแสช่วยนำโอกาสที่จะเติบโตก็ลำบาก

“กลุ่มที่ผมให้ความสำคัญคือกลุ่มพลังงาน พาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์ หุ้น 5 ตัวในพอร์ตผมก็อยู่ในกลุ่มดังกล่าวนี่แหละ”

คำอธิบายสำหรับหุ้นกลุ่มพลังงานก็คือ ประเทศกำลังพัฒนาอย่างจีนกับอินเดียตอนนี้มีความต้องการพลังงานอย่างมาก ผู้คนรวยเร็วขึ้น แต่ปริมาณพลังงานมีอยู่เท่าเดิมทำให้ราคาพลังงานจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป ส่วนกลุ่มพาณิชย์ อนาคตเศรษฐกิจจะขับเคลื่อนจากการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ต่างจากสิบปีก่อนที่จะเน้นแต่ภาคการส่งออก แน่นอนว่ากลุ่มธุรกิจค้าปลีกจะได้รับผลประโยชน์แน่นอน ส่วนอสังหาริมทรัพย์ อนาคตคอนโดมิเนียมที่อยู่ติดรถไฟฟ้าจะทยอยเปิดตัวมากขึ้น ผู้คนอพยพเข้ามาในเมืองมากขึ้น ความต้องการที่อยู่อาศัยจะมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย

“ผมเชื่อว่าโมเมนตั้มนี้จะเป็นไปอีกหลายปี อย่างค้าปลีกเราเห็นแล้วว่าคนเดินตลาดสดน้อยลง น้ำมันก็ยังแพง คอนโดมิเนียมก็ยังเปิดตัวอยู่”

ถามว่าอะไรจะเป็นกระแสหลักต่อไป เขามองว่าต่อไป "น้ำจะขาดแคลน" สินค้าเกษตรมีแนวโน้มราคาสูงขึ้น รวมถึงเทรนด์ "พลังงานทดแทน" ก็จะมา แต่คิดว่ายังไม่ใช่จังหวะเวลาที่จะลงทุนตอนนี้ภาพการเติบโตยังไม่ชัด

นรินทร์ให้มุมมองต่อตลาดหุ้นไทยว่าระดับ 1,000 จุดนี้ขอ "ถือเงินสดดีกว่า" เพราะหุ้นที่มูลค่าต่ำๆ หายากแล้ว ใครจะซื้อหุ้นตอนนี้ไม่เห็นด้วยยกเว้นแต่เน้นเทรดดิ้ง แม้หุ้นส่วนใหญ่จะไม่แพงแต่ก็ไม่มีส่วนลดแล้ว ใครที่ยังมีหุ้นอยู่ก็ให้ถือต่อไป นักลงทุนหน้าใหม่ต้องคิดให้ดี

“ผมคิดว่าเศรษฐกิจไทยกับเอเชียยังเป็นขาขึ้น แต่คงไม่ราบเรียบเสียทีเดียวคงต้องมีถดถอยบ้าง ซึ่งมีส่วนดีที่ไม่ก่อให้เกิดฟองสบู่ ถ้าคิดจะลงทุนระยะยาวควรรอให้มีวิกฤติอีกสักครั้งดีกว่า”

ถามถึงพอร์ตส่วนตัว เขาบอกว่าตอนนี้ค่อนข้างพอใจกับผลตอบแทนต่อปีที่ได้มา 20-30% และสบายใจด้วยเพราะไม่ต้องติดตามตลาดหุ้นตลอดเวลา หุ้นที่มีอยู่ในพอร์ตตอนนี้คิดว่าน่าจะถือต่อไปได้อีกนาน และคิดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงสไตล์การลงทุน

ทุกวันนี้นรินทร์ สามารถใช้สมาธิกับงานเขียนหนังสือได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีราคาหุ้นมากวนใจ แค่ผลตอบแทนจากเงินปันผลก็สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ตลอดทั้งปี เขามักจะบอกใครๆว่าอาชีพหลักปัจจุบันคือ "เขียนหนังสือ" การลงทุนเป็น "งานรอง" เท่านั้น ส่วนตัวไม่คิดที่จะเป็นเซียนหุ้นโด่งดัง ขอให้ตนเองเป็นแบบอย่างกับนักลงทุนหน้าใหม่ที่คิดจะเดินตามแนวทางนี้ก็พอ

"ผมอยากจะบอกว่าผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น เขาต้องเคย “เจ็บ” มาก่อน กลไกตลาดจะคัดกรองคนที่ผิดพลาดซ้ำซากออกไป สำคัญคือต้องหาจุดอ่อนของตนเองที่เกิดขึ้นแล้วแก้ไข ถ้าอยากจะรวยจากหุ้น "เป็นไปได้" แต่ต้องจริงจังกับมันมากๆ เพราะผู้ที่จะประสบความสำเร็จจริงๆ มีน้อย แต่ถ้าอยากลงทุนอย่างมีความสุขคงต้องลงทุนแบบ Passive (ตั้งรับ) ได้ผลตอบแทนตามค่าเฉลี่ยก็พอใจ”

6/14/2554

มหิดล สัมมนา

สมิทธิ์ วัฒนาพร" และ "ปีเตอร์ ทวีผลเจริญ" คือ สองตัวแทนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในกลุ่มธุรกิจอาหาร ที่เข้าร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวคิดในการสร้างธุรกิจใหม่ของผู้ ประกอบการรุ่นใหม่ ที่จัดโดยวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา

สองหนุ่มผู้ไม่ธรรมดา คนหนึ่งคือเจ้าของธุรกิจซอสปรุงรสแบรนด์ “สุรีย์” ที่เฉิดฉายอยู่ใน 54 ประเทศทั่วโลก กับอีกคนคือผู้ปลุกปั้น “แด๊ดดี้ โด” โดนัทสายพันธุ์ไทย ที่แข่งขันกับแบรนด์ดังได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ทว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เส้นทางธุรกิจของพวกเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนุ่มๆ บางครั้งก็มีหนามแหลมให้เหยียบย่ำกันบ้าง เรียกว่า ต่างต้องเผชิญกับโจทย์ที่ทั้งหินและท้าทายด้วยกันทั้งคู่

ชื่อของ “สุรีย์ อินเตอร์ฟู้ดส์” อาจไม่คุ้นหูนักสำหรับคนไทย เพราะตลาดหลักของพวกเขาอยู่ในต่างประเทศ แต่ถ้าบอกว่านี่คือ ทายาทเจ้าของธุรกิจน้ำจิ้มไก่ “พันท้ายนรสิงห์” คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักพวกเขา

แต่การถือกำเนิดขึ้นของแบรนด์ “สุรีย์” ไม่ได้อาศัยต้นทุนเดิมจาก “พันท้ายนรสิงห์” หากเกิดจากการเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ กับคนงานยุคตั้งไข่เพียงแค่ 10 คน เป้าหมายคือเพื่อนำน้ำจิ้มไก่และซอสปรุงรสจากไทย ไปขายในตลาดต่างประเทศ "สมิทธิ์ วัฒนาพร" ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สุรีย์ อินเตอร์ฟู้ดส์ ทายาทรุ่น 2 บอกเล่าที่มาของธุรกิจ

“ตอนนั้นคุณปู่ทำตลาดในประเทศ แต่คุณพ่อผมเห็นว่าเราควรไปต่างประเทศได้แล้ว เพราะขนาดซอสไฮน์ยังมาขายบ้านเราได้ ทำไมน้ำจิ้มไก่จากไทยจะไปต่างประเทศบ้างไม่ได้ คุณพ่อจึงออกมาตั้งโรงงานของเราเอง และเริ่มขยายไปตลาดต่างประเทศ เมื่อประมาณ 15 ปี ที่ผ่านมา”

แบรนด์สุรีย์ ค่อยๆ สร้างความคุ้นเคยกับก้นครัวฝรั่ง จนทำให้น้ำจิ้มไก่กลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมการกินที่คุ้นลิ้นต่างชาติมากขึ้น และทำรายได้ให้พวกเขาปีละกว่า 100 ล้านบาท ภาพนี้เกิดขึ้นในวันที่ “สมิทธิ์” ยังไม่ได้เข้ามาสานต่อธุรกิจ จนเมื่อคุณพ่อของเขาจากไปอย่างกะทันหัน พร้อมกับหนี้สินที่มากถึง 150 ล้านบาท

“ผมในฐานะลูกชายคนโต มีทางเลือกแค่สองทาง 1.ขายโรงงานทิ้ง และ 2. ตัดสินใจทำต่อ ผมคิดว่าถ้าขายโรงงานทิ้งไป วันหนึ่งเราใช้เงินหมดก็ต้องออกไปขายลูกชิ้นปิ้งแน่ ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เลยเลือกที่จะสู้ต่อ สู้กับหนี้กว่า 100 ล้านบาทในวันนั้น”

คนหนุ่มในวัย 26 ปี ต้องแบกภาระหนี้สูงถึง 150 ล้านบาท เพื่อประคองธุรกิจของพ่อให้อยู่รอด ปัญหาที่วิ่งชนเต็มๆ ก็คือ ลูกน้องหมดความเชื่อใจ ยกทีมออกไปชุดใหญ่ แบงก์เมิน เครดิตถูกตัด ลูกค้าในประเทศที่ซื้อเพื่อส่งออก หายเกลี้ยงชนิดที่เขาบอกว่า…

“เงินบาทหนึ่งก็ไม่เหลือไว้ให้” มีแค่ลูกค้าต่างประเทศที่ช่วยต่อลมหายใจ แต่ยอดขายก็หดหายไปกว่าครึ่ง

“ตอนนั้นเราจำเป็นต้องใช้เงินสด จากที่ผมเคยมีบ้าน มีรถ ก็ขายมันไปหมดทุกอย่าง เพื่อเอาเงินมาใช้กับโรงงานก่อน แล้วค่อยๆ ทยอยผ่อนแบงก์ไป แต่อย่างไรมันก็ยังไม่พอ ผมจึงเริ่มไปหาลูกค้าเก่าของคุณพ่อ ด้วยการทำธุรกิจแบบไว้เนื้อเชื่อใจกันมาก่อน สุดท้ายเขาก็ยอมช่วยเรา โดยโอนเงินให้ก่อน แล้วบอกผมว่า อย่าทำเสียนะ ผมบอกเขาว่า ผมจะไม่ทำให้โอกาสที่ผมได้มามันเสียไปแน่นอน เพราะมันคืออนาคตของผม”

เมื่อรู้ว่าตนเองอ่อนเปลี้ยเรื่องการตลาด สมิทธิ์จึงเลือกที่จะหาผู้ช่วย ด้วยการตั้งทีมขายขึ้นมา ทำงานเป็นทีม ปรึกษาซึ่งกันและกัน ขยายทีมงานที่ดูแลตลาดต่างประเทศ จนฟื้นลมหายใจธุรกิจขึ้นมาอีกครั้ง

หนี้ 150 ล้านบาท ผู้ประกอบการพันธุ์อึดอย่างเขา ใช้เวลาเพียง 6 ปี ก็ล้างหนี้ได้ทั้งหมด ไม่เท่านั้นยังสามารถขยายตลาดไปใน 54 ประเทศทั่วโลก ฟื้นโรงงานที่เกือบจะล้ม ให้กลับมามีชีวิตชีวา มีพนักงานมากถึง 600 คนในปัจจุบัน

"จนถึงทุกวันนี้ ผมคิดว่าเรายังเพิ่งเริ่มต้น ยังเล็กอยู่ เป้าหมายของผมคือ อยากพาอาหารไทยไปทั่วโลก ไม่เพียงแบรนด์สุรีย์เท่านั้น แต่อยากให้ผู้ประกอบการไทยได้ไปเปิดตลาดในประเทศใหม่ๆ เพราะอาหารไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก การพาอุตสาหกรรมอาหารไทยไปสู่อินเตอร์ คือความฝันของผม”

มาถึงแบรนด์ “แด๊ดดี้ โด” แม้จะไม่ได้เริ่มต้นธุรกิจพร้อมหนี้สินแบบแบรนด์ “สุรีย์” แต่ก็ต้องออกจากลู่วิ่งแบบไม่มีแต้มต่อ ขณะที่ในตลาดมีแบรนด์ที่ครองความเป็นหนึ่งอยู่แล้ว ทุกอย่างจึงเต็มไปด้วยความยาก

สิ่งที่ผู้มาใหม่ทำ คือเริ่มจากเขียนแผนธุรกิจ วิธีนี้ทำให้เขารู้เห็นอะไรมากขึ้น ไม่เพียงสร้างความชัดเจนในแบรนด์ของตัวเองเท่านั้น หากยังทำให้เขารู้จักคู่แข่ง รู้ความคิดของคู่แข่ง รวมไปถึง “รู้ช่องโหว่” ที่จะเปิดทางให้พวกเขาเข้าไปเบียดแทรก

“เราวางตัวเองแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดอย่างสิ้นเชิง โดนัทของเราลูกค้าก็รู้ได้ทันทีถึงความต่าง ไม่เหมือนกับที่มีอยู่ในตลาด เราใช้เวลาเทสต์โปรดักท์ประมาณครึ่งปี จนมั่นใจจึงเริ่มขยายสาขา ผมเริ่มธุรกิจนี้ในปี 49 พอปี 50 เริ่มเปิดสาขาที่ 2 และ 3 ตามมา จากนั้นขยายสาขาปีละ 6-8 สาขา จนปัจจุบันมีอยู่ที่ 24 สาขา”

สำหรับธุรกิจที่เติบโตได้จากการขยายสาขา ดูจะเป็นเรื่องหนักอกสำหรับคนพันธุ์เล็ก น้องใหม่ ไล่ตั้งแต่ พื้นที่ในห้างส่วนใหญ่ถูกแบรนด์ดังยึดหัวหาดหมดแล้ว เปิดร้านก็ต้องจ้างพนักงานซึ่งไม่ค่อยอยากมาอยู่กับแบรนด์เล็กๆ

สิ่งที่ผู้ประกอบการน้องใหม่ทำคือ “ลองผิด ลองถูก เรียนรู้ และมีน้ำอดน้ำทน” เริ่มจากเซตระบบการทำงาน สร้างกระบวนการที่ทำให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น อบรมพนักงาน พาไปฟังสัมมนาเพื่อให้กลับมาพัฒนางานของตัวเอง
ขณะที่การทำร้าน ก็ต้องลงมาศึกษาด้วยตนเอง เพื่อหาวิธีลดค่าใช้จ่าย ไม่โยนงานให้ผู้รับเหมาทั้งหมด อะไรทำเองได้ ก็ทำ จนสามารถลดค่าใช้จ่ายในการทำร้านลงได้กว่าครึ่ง การขยายสาขา ก็ขยันเดินเข้าหาห้างต่างๆ ให้บ่อยขึ้น เพื่อพิสูจน์ตัวเอง

ที่สำคัญคือ เรียนรู้มารยาทธุรกิจ ขยันสร้างมิตรมากกว่าศัตรู ก็จะอยู่เป็นแบรนด์เล็กที่ยั่งยืนในตลาดได้

“แด๊ดดี้ โด” ยังมีไอดอล คือ “เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป” แบรนด์ใหญ่ที่มีหลายแบรนด์อยู่ในมือที่ทุกวันนี้โกอินเตอร์ไปแล้ว โดยเป้าหมายของธุรกิจพันธุ์เล็กอย่างเขาคือ วันหนึ่งจะมีโอกาสเอาแบรนด์ไทย ไปเติบใหญ่ในต่างประเทศดูบ้าง

“ผมอยากจะสร้างแบรนด์คนไทยที่มีมาตรฐาน น่าเชื่อถือ สามารถส่งออกไปต่างประเทศได้ แต่ก่อนที่เราจะไป เราอยากให้ตัวเรามั่นคงในประเทศก่อน ไม่ใช่ปล่อยให้ใครมาบุกบ้านเราเต็มไปหมด… เราจะมองไมเนอร์ไว้ แล้วจะเป็นแบบไมเนอร์”

ชีวิตที่ผ่านมาเต็มไปด้วยการเรียนรู้ เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และสั่งสมภูมิรู้เพื่อแก้ปัญหาในอนาคต พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้ประสบการณ์ที่อ่อนด้อยของตนเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้บริหาร “แด๊ดดี้ โด” จะเป็น “ขาประจำ” งานสัมมนา เรียกว่าที่ไหนจัดถ้าเขามีเวลามักจะไม่พลาด เพราะเชื่อว่าผู้ประกอบการต้องไม่ทิ้งสัญชาตญาณนักล่า ต้องขวนขวายหาความรู้ใหม่ๆ มาใช้ในการตัดสินใจของตนเองอยู่เสมอ

จะเจนสนาม หรืออ่อนหัดประสบการณ์ แต่ถ้าไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา ก็ไปถึงเส้นชัยได้เหมือนกัน
……………………………………
Key to success
สู้แบบผู้ประกอบการรุ่นใหม่
๐ ตั้งสติ ไม่กลัวปัญหา
๐ แสวงหาโอกาสที่เหลืออยู่
๐ รู้ทันคู่แข่ง
๐ คิดให้ต่าง
๐ เรียนรู้ มีน้ำอดน้ำทน
๐ ตั้งเป้าหมายและไปให้ถึงเส้นชัย

Why

หาก เราไปถามใครๆ ที่พบในชีวิตประจำวันของเราว่า อยากเป็นผู้ประกอบการหรือไม่ คนส่วนใหญ่ก็มักจะตอบว่าต้องการเป็นเกือบทุกคน แต่สิ่งที่เราสังเกตเห็นก็คือว่ามีเพียงคนส่วนน้อยนิดเท่านั้นที่ได้ออกมา เป็นผู้ประกอบการจริงๆ และนั่นก็ทำให้เราเกิดความสงสัยว่า ทำไมทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่ต้องการแต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นผู้ประกอบการ

ไม่ ว่าคนนั้นจะกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยใกล้จะเกษียณอายุแล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะให้เหตุผลไปต่างๆ เช่น ไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจอะไร ทำไปก็อาจจะไม่รอด ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ไม่มั่นใจว่าตนเองจะทำได้ ไม่มีเงินทุน ไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีสายสัมพันธ์ ไม่กล้าเสี่ยง มีครอบครัวมีลูกต้องเลี้ยงดู มีรถต้องผ่อน มีบ้านต้องจ่าย มีค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบ ไม่มีเวลา และอื่นๆ

แต่ อุปสรรคที่สำคัญของการเป็นผู้ประกอบการอย่างหนึ่งคือรูปแบบการดำเนินชีวิต ของเรานั่นเอง หากไม่ได้มีฐานะทางการเงินมั่งคั่ง พอเราโตขึ้น ทำงาน แล้วได้ผ่อนรถ เราก็เริ่มติดกับดักของการผ่อนชำระเงินกู้ สิ่งนี้ก็ทำให้เราไม่กล้าตัดสินใจออกจากงานประจำที่มีรายได้แน่นอนไปสู่การ เป็นเจ้าของกิจการที่มีรายได้ไม่แน่นอน เพราะนั่นเป็นความเสี่ยงที่เกินกว่าที่เราจะรับได้ รวมถึงเมื่อเราแต่งงานมีครอบครัวและมีลูก เราก็เริ่มที่จะต้องส่งเสียค่าเล่าเรียนของลูก ทำให้ความสามารถในการรับความเสี่ยงของเราลดน้อยลงจนแทบไม่เหลือ

อุปสรรค อีกอย่างคือเวลา การทำงานประจำได้กินเวลาในชีวิตของเราเกือบทั้งหมดจนเราไม่สามารถที่จะไปหา ลู่ทางทำธุรกิจอื่นๆ ได้นอกจากธุรกิจที่เรากำลังทำงานประจำนั้นอยู่ ถึงแม้ว่าบางครั้งโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจจะลอยเข้ามาให้เราเห็นเป็นบาง ช่วง แต่ด้วยอุปสรรคที่เราไม่สามารถรับความเสี่ยงในชีวิตของเราได้ก็ทำให้เราติด อยู่กับงานประจำต่อไปเรื่อยๆ หรือบางทีธุรกิจที่เราทำงานประจำอยู่นั้น เราก็ไม่สามารถมองเห็นลู่ทางในการทำธุรกิจเป็นของตนเอง

ความ เชื่อของเราได้กลายเป็นอุปสรรค เราคงเคยได้ยินมาว่าจะเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จนั้นนอกจาก “เก่ง” แล้วยังต้อง “เฮง” อีกด้วย สำหรับคนที่มีเป้าหมายต้องการเป็นผู้ประกอบการ สิ่งที่ได้ยินมานี้คงไม่ใช่เรื่องสำคัญมากนัก หากเราไม่ได้เชื่อในเรื่องนี้มากจนได้ยกเลิกเป้าหมายของการเป็นผู้ประกอบการ ออกไป เพราะไม่ว่าเราจะเก่งหรือจะเฮง หากเรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ประกอบการแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือเดินหน้าต่อไปนั่นเอง

สิ่ง ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอุปสรรคของคนที่มีเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการทั้ง สิ้น คนที่มีมุมมองไปในเรื่องของอุปสรรคต่างๆ และได้ตัดสินใจที่จะยุติการเป็นผู้ประกอบการก็ทำให้ทุกสิ่งได้จบลงโดยยังไม่ ทันลงมือกระทำสิ่งใดๆ แต่มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่ถึงแม้ว่าจะรับรู้ถึงอุปสรรคต่างๆ แต่ก็ได้คิดต่อถึงวิธีการในการก้าวข้ามอุปสรรคทั้งหลายนั้น และมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าต่อไปเพื่อเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จใน วันหนึ่งข้างหน้า

ดัง นั้นการมีเป้าหมายที่กำหนดไว้ชัดเจนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เปรียบเสมือนการออกเดินทางจากจุดหนึ่งไปถึงที่หมาย หากเราไม่ทราบว่าที่หมายที่เราต้องการไปคือสถานที่แห่งใด เราย่อมไม่มีทางที่จะไปถึงที่หมายนั่นได้อย่างรู้ตัว และบางทีเราก็อาจจะเดินทางไปมาโดยวนเวียนอยู่กับที่เดิม การกำหนดเป้าหมายจึงเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดของเราทีเดียว

บาง คนพอเวลาผ่านไปได้กลับมานั่งเสียใจถึงช่วงเวลาในอดีตที่ตนเองไม่ได้ทำสิ่ง นั้นสิ่งโน้น นั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ตระหนักรู้ถึงความปรารถนาที่แท้จริงของตนเอง แล้วก็ปล่อยให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นโดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงการลงมือทำใดๆ เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ก็ยากที่จะแก้ไขหรือกลับทิศทางในการดำเนินชีวิต ของตนเองเสียแล้ว

หากเราถูกถามว่าเป้าหมายในชีวิตของเราอีก 3 เดือนข้างหน้าคืออะไร อีก 1 ปีข้างหน้าคืออะไร หรืออีก 3 ปี ข้างหน้าคืออะไร คนถูกถามก็มักจะงงแล้วก็ไม่มีคำตอบใดๆ ออกมา นั่นเพราะชีวิตของเราเองได้ปล่อยให้กิจวัตรประจำวัน โอกาสและแรงบีบคั้นจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่เกิดขึ้นในแต่ละวันนำพาชีวิตของ เราไปโดยที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่ได้คิดจะควบคุมการดำเนินชีวิตของตัวเอง เปรียบเสมือนเรือที่ล่องลอยไปอยู่ในน้ำที่ไหลเชี่ยวโดยไม่ได้พายเรือ หากกระแสน้ำได้พาเรือไปสู่สถานที่ซึ่งดีตามที่เราปรารถนา เราก็จะมีความสุข แต่หากเป็นตรงกันข้าม เราก็จะมีความทุกข์

ชีวิต บางคนได้ถูกกำหนดไว้เป็นที่เรียบร้อยล่วงหน้าแล้วว่าเมื่อเรียนจบก็จะรับสืบ ทอดกิจการต่อจากที่บ้าน และก็ได้กลายเป็นผู้ประกอบการธุรกิจนั้น ในขณะที่บางคนไม่มีธุรกิจทางบ้าน หลังจากเรียนจบปริญญาตรีก็จะใคร่ครวญว่าจะเรียนต่อปริญญาโทหรือทำงานทันที เลย ในช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกทางเดินในชีวิต ณ จุดนั้นเราก็พบว่าการสมัครเข้าทำงานเป็นทางเลือกที่ดูแน่นอนเมื่อเปรียบ เทียบกับการเป็นผู้ประกอบการ เนื่องจากเราสามารถเห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่าเราจะเข้าทำงานที่ไหน ตำแหน่งอะไร ได้รับเงินเดือนเท่าไร และมองเห็นถึงความก้าวหน้าทางอาชีพในแต่ละสายงาน

แต่ การตัดสินใจออกมาเป็นผู้ประกอบการดูเหมือนไม่มีหนทางที่ชัดเจนใดๆ ให้เราเห็นได้ หากเราถามว่าการจะเป็นผู้ประกอบการเริ่มต้นอย่างไร ก็ดูเหมือนคำตอบที่ได้รับในแต่ละคนก็หลากหลายแตกต่างกันไป เช่น ไปเอาสินค้ามาขาย ไปหาลูกค้าที่ต้องการซื้อ ไปเรียนรู้วิธีการผลิตสินค้าหรือบริการ ไปเก็บเงินทุน ไปหาทำเลร้านค้า ไปซื้อแฟรนไชส์ และอื่นๆ คำตอบเหล่านั้นก็ล้วนอาจทำให้เราเกิดความสับสนมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะความเป็นจริงแล้วทางที่จะไปเป็นผู้ประกอบการนั่นไม่ได้มีเพียงทางเดิน ทางเดียวเท่านั้น สาเหตุเพราะตำแหน่งที่แต่ละคนอยู่มีความแตกต่างกันไปนั่นเอง

นอก จากนั้นการเป็นผู้ประกอบการก็ยังเป็นเป้าหมายที่ดูกว้างมากเกินไปอีกด้วย เพราะคำว่า “ผู้ประกอบการ” อาจจะหมายถึงได้ตั้งแต่เจ้าของร้านขายก๋วยเตี๋ยวข้างถนน เจ้าของร้านส้มตำห้องแถว เจ้าของห้างสรรพสินค้า ไปตลอดจนเจ้าของอภิมหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ หนทางที่จะเป็นผู้ประกอบการของเราจึงยิ่งดูสับสนมากขึ้นเข้าไปอีก

ทั้ง ความคลุมเครือสับสนและอุปสรรคนานาประการของการจะเป็นผู้ประกอบการทำให้เรา ไม่สามารถมองเห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับหากเราสามารถกลายเป็นผู้ประกอบการ ได้ เพราะปลายทางความสำเร็จตรงนี้ดูออกจะริบหรี่มาก ก้าวเดินต่อไปในการเป็นผู้ประกอบการของเราก็ดูมืดมนและไร้ซึ่งความชัดเจน เปรียบเสมือนเดินอยู่ในห้องที่มืดมิดโดยไม่เห็นแสง และทั้งหมดเหล่านี้จึงได้กลายเป็นด่านคัดกรองกักขังคนทั้งหลายไว้และให้มีคน เพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะลอดผ่านไปได้เพื่อลิ้มรสกับความสำเร็จที่ไม่รู้จะ เกิดขึ้นเมื่อใดนั่นเอง



ข้อมูล : ดร. วีรวงศ์ พิพิธสุขสันต์ veerawong.p@gmail.com

6/12/2554

Depository FIs

Depository Financial Instituties หมายถึง FIs รูปแบบหนึ่งที่ยอมรับการฝากเงินจากบุคคลผู้มีเงินออม โดยผมอยากจะอธิบายเพิ่มเติมถึง FIs รูปแบบนี้ซึ่งผมคิดว่าเป็น FIs ที่คนมักจะนึกถึงเสมอๆ เพราะทำหน้าที่ตามที่ผมได้เคยอธิบายไว้นั้นเอง

Depository FIs มีหน้าที่หลักก็คือ รับฝากเงิน (Deposit) และปล่อยกู้ (Loan) เป็นหน้าที่หลักนั้น ในปัจจุบันหน้าที่และผลิตภัณท์ทางการเงิน ของ Depository FIs มีหลากหลายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ค่อยๆคล้ายคลึงกันมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นนั้นก็เป็นเพราะการบริการรูปแบบนี้ แต่ละองค์กรก็ทำได้ใกล้เคียงกันมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น บริการส่วนใหญ่ที่มีใน SCB ก็จะพบใน KBANK เป็นต้น

ปัจจุบันนอกจากรับฝากและปล่อยกู้แล้ว Depository FIs ยังให้บริการชำระค่าใช้จ่ายๆต่างๆ บริการออมเงินด้วยผลิตภัณท์ต่างๆและบริการประกาศ (Issue) ทั้ง Equity(Stock) และ Debt(Bond) ให้กับบริษัทอีกด้วย Depository FIs นั้นมักจะเป็นเหมือนบริษัทแม่ของ FIs อื่นๆ เช่น บริษัทประกันหรือบริษัทหลักทรัพย์และวาณิชธณกิจ ร่วมถึงบริษัทจัดการกองทุน ที่ทำให้ Depository FIs สามารถทำงานได้หลากหลายอย่าง อย่าง KBANK เองก็จะมี KASSET, KSECURITIES เป็นต้น

ขนาดของ Depository FIs จะวัดกันที่ปริมาณของ Asset เพื่อดูความใหญ่ของบริษัท ดังนั้นการควบรวมกิจการ จึงเป็นคำตอบของการขยายตัวของ Depository FIs ทางหนึ่ง แต่หากเป็นบริษัทหลักทรัพย์จะดูโดยการสังเกตจากจำนวน account ผู้ใช้บริการและ Investment Banking จะดูจากความใหญ่ของบริษัทลูกค้า
Depository FIs สามารถแบ่งออกเป็น 3 แบบใหญ่ๆ ได้แก่

1). Commercial Bank
เป็น FIs ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดรูปแบบหนึ่ง โดยเป็นธนาคารที่รับฝากเงินจากบุคคลและนำไปปล่อยกู้ให้กับธุรกิจ โรงงานหรือที่อยู่อาศัย เพื่อเงินดอกเบี้ย FIs จะได้กำไรจากส่านต่างระหว่างอัตราเงินฝาก และอัตราการกู้ยืม โดยเราสามรถดูได้จากส่วนต่างของ ROA และ ROE ได้เพื่อวัด FLE ว่าFIs นำเงินที่ได้จากบุคคลไป สร้างเป็นกำไรได้มากน้อยขนาดไหน ความเปลี่ยนแปลงของ Commercial Bank มักจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงกฏของประเทศ จึงจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดย Commercial Bank สามารแตกย่อยออกได้เป็น 3 ส่วนอีกคือ

- Community Bank เป็น ธนาคารเล็กที่เน้นการบริการในชุมชน โดยใช้ความสัมพันธ์กับคนในชุมชนเป็นจุดแข็งให้คนในชุมชนใช้บริการ อาจจะมีค่าธรรมเนียและผลประโยชน์น้อยกว่าแต่ใช้ความสัมพันธ์เข้าช่วย มักจะได้รับเงินหมุนเวียนจากการรับฝากเงิน Deposit มากที่สุด

- Regional and super regional bank เป็นธนาคารขนาดกลางที่มีทั้งนำเงินจากการรับฝากไปปล่อยกู้และกู้เงินจากธนาคารอื่นมาเพื่อปล่อยกู้แทน (Federal Fund Market) จะให้กู้ในปริมาณที่มาก ในการทำธุรกิจและการทำอุตสาหกรรม โดยอาจจะไม่ได้สนใจรายเล็กน้อยเท่าใดนัก

- Money Center bank เป็นธนาคารกลางที่ยืมเงินจากสถาบันอื่นมาปล่อยกู้เท่านั้นจะปล่อยในโครงการระดับชาติที่ใหญ่มากๆ

Balance sheet ของ Depository FIs
ด้าน Liability จะมีเงินฝาก (Deposit) เป็นส่วนประกอบหลักอาจจะมี Debt จากการกู้ยืมเงินธนาคารอื่นบ้าง โดยปัญหาของธนาคารคือการที่นำ STD ไปใช้กับ LTA หากมีการบริหารผิดพลาดจะเป็นปัญหาได้ (Mismatch of Maturities)

ด้าน Asset จะประกอบไปด้วยเงินปล่อยกู้เป็นส่วนประกอบหลัก ทั้ง Mortgages loan และ Industry loan และอาจจะมีรายการ การลงทุนอยู่บ้าง การที่เกิด NPL จะทำให้ asset นี้กลายเป็น 0 ซึ่งจะทำให้ Equity ของ Bank ลดลงได้ ดังนั้น NPL จึงเป็นปัญหาในด้านของ Asset สำหรับเงินสดนั้น Bank จะถือน้อยมากเพราะมันไม่ทำให้เกิดรายได้

แนวโน้มของธนาคารในอนาคต
I. ในอนาคตพบว่างานหลักซึ่งคือการปล่อยกู้ loan ของธนาคารนั้นจะลดลงเรื่อยๆ เพราะธุรกิจมีช่องทางอื่นในการระดมทุนมากขึ้น เช่น SET และ issue debt เพราะทั้งสองส่วนนั้นไม่ต้องพึ่งพา หลักประกัน

II. การใช้ short term debt securities จะมีมากขึ้น

III. การให้ยืมในส่วนของ Mortgages loan จะมีความเข้มงวดมากขึ้น

Off Balance Sheet Activity

บางส่วนของกิจกรรมของธนาคาร อาจจะยังไม่มีนัยสำคัญใดๆ จนกว่าที่จะมีเหตการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ธนาคารจึงไม่ได้ลง ใน B/S ไว้โดยกิจกรรมนั้นๆ ได้แก่

Letter of credit: ธนาคารรับทำหนังสือประกันว่าลูกค้าจะจ่ายเงินให้กับผู้ขายในต่างแดนอย่างแน่นอน หากทุกอย่างราบเรียบ ธนาคารก็จะได้เงิน Fee แต่หากไม่ ธนาคารต้องรับหน้าที่จ่ายแทนผู้ที่ธนาคารออก L/C ให้โดยจะทำให้เกิด liability จำนวนมากใน B/S

Derivatives position: การที่ธนาคารถือ Derivatives position จำนวนมากหากเหตการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจะทำให้บริษัทเสียหายมาก

Loan Commitment: การที่ธนาคารให้คำมั่นว่าจะให้ธุรกิจยืมเงิน หากไม่เกิดการยืมเงินก็จะไม่มีอะไรแต่ถ้าเกิดการยืมเงินขึ้น asset ก็จะเพิ่มขึ้น

Loan sold: ธนาคารขายการปล่อยกู้ไป โดยจะเป็นการลด NPL Asset ออกไปจาก B/S

When issue Securities:

ธนาคารในอนาคตจะสนใจในส่วนของ Service Fee มากขึ้นอย่างเช่น ธนาคาร SCB ที่ได้เปลี่ยน Strategic มาสนใจในส่วนนี้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากเพื่อชดเชยการขาดหายไปและความไม่แน่นอนของ Spread กำไร ซึ่ง Service Fee นั้นอาจจะมาจาก Management asset fee เป็นต้น หรือาจจะมาจาก Correspondent banking ที่ธนาคาร นำ Service ไปบริการใน Bank อื่นที่ไม่มี service เหมือนตนเอง

กฏสำคัญของ Commercial Bank
- Federal Deposit Insurance Corporation: ธนาคารกลางจะมีการรับประกันเงินฝากให้กับบุคคลที่นำเงินฝากแบงค์ ปัจจุบัน อยู่ที่ 1m / account
- Federal Reserve System: ธนาคารจะต้องมีเงินกันสำรองส่วนหนึ่งเพื่อประกันความมั่นคงของ Bank ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตาม Monetary policy ของประเทศที่จัดการบังคับ Interest rate เพื่อควบคุม Money Supply หรือเงินในกระเป๋าของคุณ เช่น ถ้า Government ออก Bond มันก็จะเงินก็จะไหลไปอยู่กับ Government เป็นต้น

2). Saving Institutions
เป็นรูปแบบของ Depository FIs ที่จะมีน้อยลงเรื่อยๆในอนาคต โดยในไทยจะไม่มี คือผู้ฝากเงินจะได้ความเป็นเจ้าของด้วย ซึ่งมันจะไม่มีความเป็นเจ้าของเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไป ทำให้การพัฒนาเกิดขึ้นได้ยากลำบาก

3). Credit Unions
มันก็คือสหกรณ์ที่เกิดจากการรวมกลุ่มกันขององค์กรหรือกลุ่มบุคคลเฉพาะกลุ่มที่ share common bond คือกลุ่มบุคคลที่มีลักษณธบางอย่างที่เหมือนกัน เช่น เป็นครูของรัฐเหมือนกัน โดยที่อำนาจและประโยชน์จะอยู่ภายในเฉพาะกลุ่มเท่านั้น เช่น สหกรณ์ครูที่เฉพาะ ครูถึงได้ประโยชน์และกู้เงินได้ โดยอาจจะมีสิทธิที่พิเศษกว่า commercial bank เช่น ได้ดอกเบี้นถูกกว่า สหกรณ์นั้นยังไม่ต้องไปจ่าย taxes อีกด้วย
อนาคตของ Depository FIs
มีการแข่งขันกันที่รุนแรงมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่อนุญาตให้ ธนาคารจากต่างชาติเข้ามาแข่งขันได้ ยิ่งสนับสนุนหัวข้อนี้อย่างมาก อย่างไรก็ตามการแข่งขันจะอยู่กันเจ้าใหญ่ๆ เท่านั้นโดยที่เจ้าเล็กก็จะตายลง
จะมีการเพิ่มขึ้นของ Off balance sheet activity แน่นอนเพราะมีการกระจายช่องทางในการหารายได้มากขึ้น เนื่องจาก Spread อย่างเดี่ยวจะไม่พออีกต่อไป

6/11/2554

ราคากับสิ่งที่ควรรู้

จากสงครามชาเขียวที่แข่งขันกันแบบเลือกสาดของชาเขียวแบรนด์ต่างๆ ทำให้ผู้ประกอบการชาเขียวขาใหญ่อย่าง โออิชิ ต้องกระโดดเข้าสู่สงครามราคาเพื่อชกกับน้องชาเขียวหน้าใหม่แต่ใจเก๋าอย่าง อิชิตัน ของคุณตันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โออิชินั้นก็เกรงกลัว อิชิตันเป็นอย่างมากเพราะตอนที่เพียวริคุของค่าย กระทิงแดง ลดราคาลงมา โออิชิยังไม่ได้ทำการลดราคาลงมาขนาดนี้ จากสงครามราคานั้นทำให้ผมเกิดข้อสังเกตในเรื่องของการลดราคาว่าจะมีผลอย่างไรต่อกับรูปแบบการตลาดบ้าง จึงเป็นเรื่องของการสนทณาในวันนี้ครับ

นักการตลาดนั้นจะทราบดีว่าการลดราคาเป็นอาวุธหนักทางการตลาด ที่สามารถเรียกยอดขายและลูกค้าได้อย่างเป็นกอบเป็นกำอย่างมีนัยสำคัญ แต่อย่างไรก็ตามนักการตลาดก็รู้ว่าอาวุธนี้ใช้ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เพราะการลดราคาบ่อยครั้งจะทำให้ผู้บริโภคเกิดความเคยชินและตีราคาสินค้าในใจของลูกค้าไปที่ราคาที่ถูกลดไปแล้วนั้นเอง นอกจากนี้เทคนิคนี้ยังลดมูลค่าของแบรนด์ในระยะยาวอีกด้วย ผู้ประกอบการที่ทำตลาดกับสินค้าที่เจาะตลาดระดับบนจึงหลีกเลี่ยงที่จะใช้เทคนิคนี้นอกจากจะจำเป็นจริงๆเท่านั้น

ตามจริงแล้วผมคิดว่าการที่เราจะลงไปเล่นในสงครามราคานั้นเราควรทีจะตอบโจทย์กให้ได้ก่อนว่า เราจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องลงไปทำสงครามราคาครั้งนี้ โดยมากแล้วรายใหญ่ที่ลงไปเล่นในสงครามราคานั้นก็เพื่อปกป้องส่วนแบ่งของตนเองและทำลายคู่แข่งหน้าใหม่ แต่หากคุณไม่ใช่รายใหญ่แล้วคุณอาจจะต้องลองทบทวนดูใหม่ว่ามีวิธีอื่น อย่างเช่นการเจรจาเพื่อหาผลประโยชน์ที่ลงตัวได้หรือไม่

สำหรับสินค้าใหม่ผมมีมุมมอง 3 อย่างที่ผู้ประกอบการควรที่จะพิจรณาในการตั้งราคาสินค้าได้แก่

1. กรณีสินค้าใหม่ผู้บริโภคจะยังไม่ตีราคาในใจเอาไว้ ซึ่งโดยส่วนมากแล้วผู้บริโภคจะตีราคาแรกที่เห็นเป็นราคาในใจ ดังนั้นการนำเสนอสินค้าที่ราคาต่ำเพื่อเจาะตลาด (Penetration Pricing) อาจจะไม่ใช้อาวุธที่ดีก็ได้

2. ผู้บริโภคจะเกิดความรู้สึกถูกเอาเปรียบหากราคาที่ลูกค้ารับทราบในใจ ถูกปรับเพิ่มขึ้น

3. หากคุณนำเสนอสินค้าที่มีคุณค่าเพิ่มให้กับตลาด ลูกค้าจะตีราคาสินค้าพร้อมคุณค่าของคุณแตกต่างจากคู่แข่ง ดังนั้นการที่คุณนำเสนอสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งในช่วงแรกจะใช้คำตอบของโจทย์จริงๆหรือเปล่า

จากกรณีของ อิชิตัน ผมมองว่าคุณตันไม่ได้ต้องการเล่นสงครามราคาเพราะเขารู้ว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะต่อสู้กับ ทุนใหญ่อย่างไทยเบฟได้ แต่ผมมองว่าคุณตันได้ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคแล้วพบว่าปริมาณ 200ml เป็นขนาดที่เหมาะสมกับลูกค้าจึงนำเสนอ อิชิตัน ในปริมาณลดลงในราคาที่ถูกลง เพื่อเจาะเข้าสู่ลูกค้าที่ไม่ได้ต้องการดื่มชาเขียวแบบ 250ml อย่างก็ไรตาม การตอบโต้ของ โออิชิ ทำให้กรณีนี้กลายเป็นสงครามราคาไป ผมคงต้องแสดงความยินดีกับนักดื่มชาเขียวร่วมทั้งตัวผมครับ ที่ได้ประโยชน์ตรงนี้ไปเต็มๆ

Modern portfolio and CAPM

ในการลงทุนนักลงทุนย่อมต้องการที่จะได้กำไรจากการลงทุนเป็นพื้นฐานและเป็นสิ่งดึงดูดทำให้มีคนมากมายเข้าสู่เส้นทางการลงทุนอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่คนมากมายต่างพากันได้ผลตอบแทนอันน่าพิศมัยจากการลงทุน ทั้งการลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ตลาดอนุพันธ์และแม้แต่ การลงทุนในที่ดิน

นักลงทุนหน้าใหม่ทราบว่าผลตอบแทนที่ผ่านมาคือเท่าไหร่ในอดีตและคาดหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นต่อไปในอนาคต คำถามคือว่า มันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ? แล้วถ้าหากว่าผลลัพธ์หรือกำไรจากการลงทุนไม่เป็นเช่นนั้นมันเป็นเพราะอะไรล่ะ?

การที่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังนั้น หมายถึง ความเสี่ยงจากตลาดที่ราคาตลาดของสินทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผู้ลงทุนจึงควรรับรู้ความเสี่ยงของตนเองก่อนที่จะทำการลงทุนใดๆ ซึ่งจากทฤษฏีการลงทุนสมัยใหม่ พบว่าความเสี่ยงนั้นหมายถึงความแปรปวนของสินทรัพย์ที่เราถืออยู่ที่จได้ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ โดยความเสี่ยงนั้นในทางสถิติหมายถึงค่า Standard deviation หรือค่าความแปรปวนที่เกิดขึ้นนั้นเอง วันนี้ผมจึงอยากจะพูดถึงทฤษฏีการลงทุนสมัยใหม่สักหน่อย

การลงทุนสมัยใหม่ เล็งความสนใจไปที่ Risk & Return โดยจะมุ่งเป้าไปที่ปัจจัยที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญและคำนวนหาความสัมพันธ์ของปัจจัยนั้น โดยจะมี 2 Theory ที่สำคัญคือ

1). Modern Portfolio theory:
จุดเริ่มต้นของการลงทุนคือการสร้าง portfolio ขึ้นมาโดยนักลงทุนสมัยใหม่จะใช้เหตุผลและกลยุทธ์ในการแฟ้นหาหลักทรัพย์ที่เข้าเกณท์การลงทุน อย่างที่บอกโดยดูจาก

Return = ค่าเฉลี่ยของผลกำไรจากการลงทุนที่สามารถเป็นไปได้ โดยจะต้องเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามหลักทรัพย์ที่เราลงทุน


Risk = ค่าความผันผวนที่เกิดขึ้นระหว่างค่าผลตอบแทนเฉลี่ยนั้นๆ (Standard deviation หรือ Coefficient of variance)


นักลงทุนสมัยใหม่ เชื่อว่าการลงทุนที่มีความเสี่ยงมาก สมควรที่จะต้องการผลตอบแทนที่มากตามด้วยเพื่อชดเชยความเสี่ยงนั้น (High risk, High return) เมื่อนำทั้งสองปัจจัยมาวาดกราฟจะปรากฏดังนี้


จะเห็นว่าภาพถูกบบเป็น 4 พื้นที่โดยพื้นที่ๆ น่าลงทุนคือพื้นที่ D ที่มีผลตอบแทนสูงสุดแต่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด งานของนักลงทุนสมัยใหม่คือ นำหลักทรัพย์มาจัดสรรและค่ารูปแบบ portfolio ที่สนใจ มาวาดลงในกราฟนี้และเลือกการลงทุนใน portfolio ที่อยู่ในพื้นที่ D เท่านั้น เพื่อสร้างเป็น portfolio ตามทฤษฏี โดยหากหลักทรัพย์ใดๆ ที่มีความเสี่ยงเท่ากัน (SD) จงเลือกตัวทีมี return มากกว่า หรือมี CV น้อยกว่าเสมอ

นอกจากนี้ นักลงทุนสมัยใหม่ต้องใส่ใจเป็นอย่างยิ่งกับ การจัดสรรหลักทรัพย์ใน Portfolio (asset allocation) โดย

1. High risk, high return portfolio: ให้เลือกหุ้นที่มีทิศทางเดียวกัน หมายถึงมี positive correlation ทั้งนี้หมายถึงหากตัวนี้ผลตอบแทนขึ้น อีกตัวก็จะขึ้นตามในทางเดียวกันหมายความว่าคุณจะ double gain & double loss
2. Low risk, low return ให้เลือกหุ้นที่มี negative correlation หาเลือกหุ้นลักษณะนี้ ค่า Standard deviation รวมของ portfolio จะมีค่าลดลงซึ่งความเสี่ยงของการลงทุนนั้นก็จะลดลงเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าการจัดสรรหลักทรัพย์ใน port นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนิสัยการลงทุนส่วนบุคคลว่าจะเลือกทางไหน ให้สัดส่วนเป็นเท่าไหร่ หากเราชอบ low risk อาจจะเลือกหยิบหุ้นอสังหา มากับหุ้นเกษตรที่มักจะมี correlation ทิศทางตรงข้ามกัน เพื่อสร้าง port ความเสี่ยงต่ำ โดยอาจจะจัดเป็น 60:40 เพราะ อสังหามักให้ผลตอบแทนมากกว่าก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามหากค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของ port นี้ไม่ถึงค่าเฉลี่ยที่คาดหวัง เราอาจจะต้องรับความเสี่ยงมากขึ้นโดยการจัด port เป็น 80:20 ก็ได้

ทั้งนี้ทฤษฏีของการมีหลักทรัพย์มากกว่า 1 ตัวที่มี negative correlation อยู่ใน port หมายถึงกลยุทธ์การ Diversification หรือการกระจายความเสี่ยงการลงทุนนั้นเอง ทั้งนี้นักลงทุนหลายคนได้มีการกระจายซ้อหุ้นอยู่แล้ว แต่ควรจะตรวจสอบด้วยว่า หุ้นเหล่านั้นมี negative correlation หรือไม่ ดูง่ายๆจากกราฟ ราคาในอดีตที่มีกมีการเคลื่อนที่เมื่อกันหรือเปล่าหรือนำ return percentage ในอดีต มาใส่ค่า Correlate(x,y) ใน excel ก็ได้


จุดเหลืองที่เห็นเป็น การจัด portfolio รูปแบบต่างๆที่ อาจจะแตกต่างกันทั้งด้าน asset allocation หรือแตกต่างกันที่ภายในตัว asset เองก็ได้ จากภาพนี้ เรานอกนึกถึงภาพ ก่อนเราจะพบว่าเราควรลงทุนใน Portfolio ที่พื้นที่ D โดยตัวที่อยู่ซ้ายสุดจะมีความปลอดภัยสูงที่สุดและหากเราต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้นเราจะดูย้อนขึ้นไปด้านบน เพื่อไม่ให้เป็น risk seeking ที่กระโจนเข้าสาความเสี่ยงโดยผลตอบแทนเท่าเดิมหรือแย่กว่า


จากภาพจะเห็นว่า Optimal portfolio ที่ความเสี่ยงต่ำสุดคือ C หากต้องการผลตอบแทนี่มากขึ้นก็ต้องรับความเสี่ยงมากขึ้นก็จะเป็น portfolio D และ E ตามลำดับ ส่วยตัวอื่นใน attainable set ไม่ควรที่จะลงทุนเพราะให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าในความเสี่ยงที่มากกว่า เส้นที่ลากเชื่อ C,D,E ถูกเรียกว่า Efficient Frontier คือกำแพงประสิทธิภาพที่ควรลงทุนนั้นเอง

2). Capital Asset Pricing Model (CAPM):


อีกทฤษฏีหนึ่งของการลงทุนสมัยใหม่ก็คือ CAPM เป็น model ที่ใช้หาผลตอบแทนที่นักลงุทนควรจะได้รับจากการแบกรับความเสี่ยง (Risk premium) เพราะในการลงทุนที่มีความเสี่ยงมาก นักลงทุนไม่ควรที่จะใช้ วิจารณญาเอง ในการคาดหวังผลตอบแทนแต่ควรคำนวนผลตอบแทนที่คาดหวังจากความเสี่ยง

ซึ่งในโมเดลนี้แบ่งความเสี่ยงออกเป็น 2 แบบคือ
1. Diversifiable risk (Unsystematic):เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากความผิดพลาดต่างๆที่สามารถควบคุมได้ ในทางการลงทุนนั้นความเสี่ยงนี้จะสามารถได้จากการกระจายซื้อหลักทรัพย์ 2 – 20 ตัว

2. Nondiversifiable risk (systematic risk) เป็นความเสี่ยงที่การจายช่วยไม่ได้เพราะเกิดขึ้ยทั้งระบบ เช่น การเปลี่ยนมุมมองของตลาดต่อตลาดหุ้นได้เป๋นต้น


Nondiversifiable risk นั้นแม้จะไม่สามารถควบคุมได้ แต่นักลงทุนสมัยใหม่เชื่อว่าเราสามารถที่จะวัดได้จากการ ใช้ β เบต้า ที่เป็นตัววัดความผันผวนของportfolio หรือหลักทรัพย์เทียบกันกับ SET Index โดย portfolio ที่มี beta น้อยกว่า 1 มักจะเหวี่ยงน้อยกว่าตลาด หากมากกว่า 1 ก็จะเหวี่ยงมากกว่าตลาด โดย Beta เป็นปัจจัยหลักของ CAPM เพราะเป็นตัวบอกถึง Risk premium ของ portfolio ที่จะส่งผลถึง return ที่ควรจะได้รับจาก CAPM จากตำราเราพบว่า Betaคือ

beta is a measure of the
covariance between that asset’s return and the return
on the market divide by the market’s variance

โดยเราสามารถใช้ function ใน excel เพื่อหา beta ได้จาก Covar(x,Y)/var(y) สำหรับ required rate of return นั้นสามารถหาได้จาก


กล่าวโดยสรุปนั้นการลงทุนในหลักทรัพย์ตัวใดๆ หรือ การจัด portfolio แบบใดๆ ควรที่จะหา CAPM เพื่อค้นหาผลตอบแทนที่ควรจะได้รับซึ่งเรื่องนี้สามารถนำไปเชื่อมกับ Cost of capital เพื่อหา Weight Average Cost of Capital เพื่อหาผลตอบแทนที่ต้องการแท้จริงจากการลงทุน ซึ่งนักลงทุนสมัยใหม่จะมีการคำนวนเพื่อค้นหาอัตราผลตอบแทนนี้ โดยปกติแล้วจะประมาณ 10 – 12%
นอกจากนี้ การหา required rate of return ในจุดที่มี Beta ต่างๆกัน แล้ววาดเป็นกราฟฟิคจะได้ SML ดังภาพ


โดยภาพนี้จะแสดงความคุ้มค่าว่าหากเราขยับผลตอบแทนขึ้น 10% (จาก 10 -> 11) เราจะต้องแบกรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีกเท่าใด ซ฿งเป็นประโยชนในการวัดว่าเราสามารถรับความเสี่ยงเพิ่มเติมจากผลตอบแทนที่มากขึ้นได้หรือไม่

6/05/2554

ชัยชนะที่ปลายจมูก

ผมชอบการตลาดนอกตำรา คำว่า “มาร์เก็ตติ้ง” ในการทำธุรกิจของผม เรียนรู้จากศาสตร์ชีวิตประจำวันรอบตัว ผมเรียกมันว่าวิชา “ตลาดกลิ้ง”


กลิ้งเข้าไปสัมผัสคลุกคลีกับลูกค้า กลิ้งไปดูทุกรายละเอียด เข้าไปนั่งอยู่ในใจลูกค้ารู้ว่าเขาต้องการอะไร
รายละเอียดพวกนี้หาไม่ได้บนโต๊ะทำงานของคุณนะครับ แต่ถ้าคุณขยันเก็บรายละเอียด
ยิ่งเก็บมากเท่าไหร่ โอกาสพัฒนาสินค้าให้โดนใจก็มีมากเท่านั้น


วิชาสามัญที่ผมใช้ตลอดทุกครั้ง คือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ใส่ใจทุกรายละเอียด ไม่มองข้ามแม้เพียงเรื่องเล็กน้อย
เพราะความแตกต่างเพียง “นิดเดียว” นี่แหละครับ คือ ความสำเร็จปลายจมูกที่เฉือนเอาชนะคู่แข่ง


ผมได้บทเรียนนี้จากครั้งแรกและครั้งเดียวที่เข้าสนามม้า
เสียท่าหมดเงิน 50 บาทเพราะอยากรู้อยากลองคราวนั้น สอนผมจดจำไปทั้งชีวิต
ในสนามแข่งม้า ชัยชนะเขาวัดกันที่การถึง “เส้นชัย”
ไม่ใช่ที่ “ปลายเท้า” แต่แพ้-ชนะกันที่ “ปลายจมูก”
ระหว่าง ทางต่อให้โชว์ฟอร์มดิบดีแค่ไหน แต่ถ้าพลาดจังหวะสุดท้ายลืมพุ่งจมูกเข้าถึงเส้นชัยก่อนคู่แข่งก็เท่ากับตาย ตอนจบ..พุ่งไปไม่ถึงความสำเร็จ


การทำธุรกิจก็เหมือนกัน ไม่มีกติกาว่าใครคิดก่อน รู้ก่อน ทำก่อนแล้วจะสำเร็จ
แต่มันขึ้นอยู่กับว่านาทีสุดท้ายคุณทำทันหรือเปล่าหรือทำถูกจังหวะเวลาหรือเปล่า
ชีวิตจริงคนเราก็แบบนี้ บางทีมันอยู่ที่ “นิดเดียว” จริงๆ ครับ
ใครเก่งกว่าใคร ใครสวยกว่ากันอาจเฉือนกันไม่ลง โค้งสุดท้ายสาวงามคนไหนตอบคำถามได้ชนะใจกรรมการก็อาจคว้ามงกุฎกับสายสะพายไปครอง


ยิงปืนจะโดนไม่โดน จังหวะลั่นไกอยู่แค่เสี้ยววินาที
ระหว่างน้ำท่วมปากกับท่วมจมูก ความแตกต่างแค่เส้นยาแดงนิดเดียว แต่ผลลัพธ์แตกต่างไม่ใช่แค่หน้ามือกับหลังมือ
ผมเชื่อว่าความลับความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ใครเก่งกว่า ดีกว่าเท่านั้นถึงจะเป็นที่หนึ่ง
ตอนเริ่มต้นธุรกิจ ผมไม่ได้มีอะไรเหนือไปกว่าคนอื่นๆ แต่เพราะเชื่อในชัยชนะปลายจมูก
ผมจึงแตกต่างด้วยวิธีคิดและทำมากกว่าคนอื่นอีก “นิดหนึ่ง” เสมอ


สมัยเริ่มธุรกิจแผงขายหนังสือเล็กๆ ร้านผมกับคู่แข่งทำเลก็พอๆ กัน แต่ขายดีกว่าเพราะผมได้เปรียบอีกนิดหนึ่งตรงที่ลูกขยัน
ร้านเราเปิดก่อนแต่ปิดทีหลังสุด คนอื่นเฝ้าร้านนั่งอ่านหนังสือ แต่ผมใช้สายตาส่งยิ้มให้ลูกค้า คอยจดจำว่าใครเป็นแฟนหนังสือเล่มไหน


หลายต่อหลายธุรกิจที่ผมชนะได้ก็เพราะ “ใจ” ล้วนๆ
หลักการง่ายๆ คือ โดนใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำอะไรให้ลูกค้าเกิดความประทับใจสุดๆ
ตอนทำแคมเปญรวยฟ้าผ่า 30 ฝา 30 ล้าน เราไม่ใช่เจ้าแรกที่กล้าแจกเงินล้าน
แต่เราแตกต่างตรงที่แจกจริง แจกเร็ว ผมไปแจกเองทันทีใน 24 ชั่วโมง รุ่งเช้ากลายเป็นข่าวทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์


อะไรที่คนอื่นทำไม่ถึง ทำไม่ได้ ไม่เคยทำ แต่คุณทำได้ คุณจะได้ใจลูกค้าไปเต็มๆ
บางทีถึงไม่ได้เงิน แต่ก็ได้แบรนด์ แต่ถ้าทำดีๆ คุณก็อาจจะได้ทั้งแบรนด์ ได้ทั้งเงิน
แคมเปญยอดนิยม “ไปแต่ตัว ทัวร์ยกแก๊ง” ที่เข้าไปอยู่ในใจลูกค้าได้ เพราะให้ในสิ่งที่ลูกค้าคาดไม่ถึง ปาฏิหาริย์ยอดขายจึงเกิดขึ้น


หลายแคมเปญที่ประสบความสำเร็จ เพราะเราคิดมากกว่าเจ้าอื่นที่เคยทำเพียงนิดเดียว
ถ้าคิดจะทำแคมเปญ “ให้” แล้ว ผมชอบคำว่าสุดๆ
จะ ถึงใจ..ใจต้องถึง อย่าทำครึ่งๆ กลางๆ ตัวอย่างเช่นแคมเปญแจกรถยนต์ มีแต่คนให้รถแต่ไม่รวมภาษี แต่ผมชอบแจกจริง ออกภาษีทำประกันทุกอย่างให้ฟรี แถมเติมน้ำมันให้อีกเต็มถัง
คุณคิดว่าอย่างไหนลูกค้าประทับใจมากกว่ากันครับ
บางทีแค่ทำมากกว่าอีกนิดเดียว แต่ชัยชนะแค่ปลายจมูกอาจเทียบกันไม่ติด


คำว่า “มาร์เก็ตติ้ง” จึงหมายถึง “ตลาดกลิ้ง” ที่สอนให้ผมไม่เคยคิดอะไรแค่มุมเดียว
ทุกโจทย์การแข่งขันต้องกลิ้งไปให้ลงลึกถึงรายละเอียด
ใครคิดและทำมากกว่าอีกด้านหนึ่ง พิชิตใจลูกค้าได้มากกว่าคู่แข่ง คนนั้นคือผู้ชนะครับ

Credit: คุณตัน,http://www.bangkokbiznews.com/home/

Portfolio Rebalancing Technique

Portfolio Rebalancing Technique

เนื่องจากมีผู้สอบถามหลายท่าน และรูปเดิมในบทความมองไม่เห็น ผมจึงทำการ update ข้อมูลให้เป็นปัจจุับันอีกครั้งครับ

“หุ้นช่วง นี้ลงมาเยอะเลย อย่าเพิ่งซื้อ นักวิเคราะห์กำลังจะปรับประมาณการปีนี้ลงอีก”

“ช่วงนี้หุ้นเริ่มกลับมาเป็นขาขึ้นแล้ว เริ่มมีความน่าลงทุน” “ปีที่แล้วขาดทุนไปเยอะเลย คงหยุดเล่นไปอีกซักพัก”

ผม มักได้ยินประโยคเหล่านี้จากเพื่อน ๆ ที่ลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งผมมองว่าเป็นการสะท้อนพฤติกรรมการมองไปข้างหลัง เพื่อกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในปัจจุบัน แต่บ่อยครั้งกลับไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต
แนวทางข้างต้นผมเรียกว่า เป็นการลงทุนแบบ Momentum คือรอให้ตลาดมีสัญญาณก่อนจึงค่อยปรับตัวตาม เช่น ถ้าหุ้นเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นซักระยะเวลาหนึ่ง ก็เป็นสัญญาณเข้าลงทุน หรือถ้าหุ้นเริ่มตกซักระยะ ก็เป็นสัญญาณในการขายหุ้น ซึ่งกลยุทธ์แบบ Momentum ดังกล่าวจะใช้ได้ผลในตลาดแบบ Trendy market กล่าวคือเวลาขึ้นหรือลงแต่ละรอบเกิดขึ้นเป็นระยะเวลายาว ๆ

โดย ส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยชอบสไตล์ Momentum เพราะความผันผวนของตลาดหุ้นไทยมีค่อนข้างมาก บ่อยครั้งถ้าเรารอให้หุ้นขึ้นแล้วค่อยซื้อ หุ้นลงค่อยขาย กลับให้ผลลัพธ์เป็นการ “ซื้อแพง ขายถูก”
แนวทางที่ผมจะขอเสนอในวันนี้ เป็นหลักการปรับพอร์ตแบบ ซื้อถูก – ขายแพง ซึ่งเป็นแนวทางที่ผมใช้กับการลงทุนส่วนตัว และแนะนำให้กับเพื่อนและลูกค้าแล้วได้ผลที่ดี โดยวิธีการเป็นอย่างนี้ครับ สมมติว่าเรามีเงินลงทุนอยู่ในหุ้น 10,000 บาท โดยผมกำหนด 20% เป็นเปอร์เซนต์เป้าหมายในการปรับพอร์ต และเงินลงทุนเป้าหมายคือ 10,000 บาท กฎมีดังนี้ครับ

- เมื่อใดก็ตามที่พอร์ตการลงทุนปรับเพิ่มขึ้น 20% หรือขึ้นมาเป็น 12,000 บาท ให้ขายทำกำไรออกมา 2,000 บาท เพื่อให้เงินลงทุนเหลือ 10,000 บาทเท่าเดิม และเก็บเงินสดไว้

- เมื่อใดก็ตามที่พอร์ตการลงทุนปรับลดลง 20% หรือเหลือ 8,000 บาท ให้นำเงินสด 2,000 บาทมาลงทุนเพื่อให้เงินลงทุนรวมเป็น 10,000 บาท

- ทำตามแนวทางนี้ไปเรื่อย ๆ จนเมื่อใดหากมีเงินสดในมือเยอะขึ้น หรือมีเงินเก็บพร้อมจะลงทุนมากขึ้น ให้ปรับเงินลงทุนเป้าหมายขึ้น/ลงได้ ตามความเหมาะสม


ส่วน ตัวที่ผมชื่นชอบแนวทางการลงทุนแบบ Rebalancing เพราะเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้เราได้ “ซื้อตอนลง และขายตอนขึ้น” หรือเรียกได้ว่า “ซื้อถูก ขายแพง” ครับ นอกจากนี้เวลาราคาปรับเพิ่มขึ้นผมก็มีโอกาสได้ขายทำกำไรและเตรียมเงินสดไว้ ลงทุนเมื่อราคาปรับตัวลดลง

แนวทาง นี้ใช้ได้กับการลงทุนในตราสารหนี้, โภคภัณฑ์ และจัดพอร์ตการลงทุนโดยรวม (Asset Allocation) ได้ด้วยครับ โดยต้องกำหนดเปอร์เซ็นต์การปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับความผันผวนของแต่ละ ประเภทของหลักทรัพย์

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ที่ผมนำเสนอในวันนี้จะให้ผลตอบแทนที่ไม่ค่อยดีในตลาด Trendy market แบบหลาย ๆ ปีเช่น ขาลงในช่วงปี 1996 – 1998 หรือขาขึ้นในปี 2002 – 2003 ครับ แต่ผมก็คงจะไม่เปลี่ยนแนวทางการลงทุนอย่างแน่นอน เพราะแนวทางแบบ Rebalancing ให้ความสบายใจกับผมในการจัดพอร์ตครับ เมื่อก่อนเวลาตลาดขึ้นก็เครียดเพราะรู้สึกว่าตกรถไฟ เวลาตลาดลงก็เครียดเพราะขาดทุน เดี๋ยวนี้เวลาตลาดขึ้นผมชอบ และลุ้นให้ขึ้นจนถึง 20% เพื่อจะได้ขายทำกำไร เวลาตลาดลงก็มีความสุขครับอยากให้ลงเยอะ ๆ ถ้าลงถึง 20% ก็คือช่วงเวลาที่จะได้ Shopping ของดีราคาถูก เรียกได้ว่า จะขึ้นหรือจะลงก็สนุกไปกับมันครับ

Credit:เจษฎา สุขทิศ,CFA from http://www.fundmanagertalk.com/investment-talk-rebalancing

6/04/2554

Basic of Risk (2)

เพื่อต่อเนื่องจากบทความที่แล้วบทความนี้เราจะพูดถึงเรื่องของการบริหารความเสี่ยงให้มากขึ้นครับ โดยการบริหารความเสี่ยงจะมีความหมายว่า “การบ่งชี้ ประเมิณและความคุมดูแลความเสี่ยงเพื่อป้องกันไม่ให้เริ่องราวที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น” เพราะหากเราทำความเข้าใจและรับรู้สิ่งเลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้แล้วนั้น การตอบสนองของเราต่อปัจจัยกระทบก็จะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นอีกด้วย การบริหารความเสี่ยงนั้นโดยมากจะเป็นไปเพื่อรับรู้ความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงความเสสี่ยงนั้น ไม่ใช่การโหมตัวเข้าไปปะทะกับความเสี่ยงนั้นๆ นะครับ ซึ่งการบริหารความเสี่ยงบริหารเป็นกระบวนการก่อนแล้วจึงประเมิณด้วยวิธีทางคณิตศาสตร์ โดยกระบวนการบริหารความเสี่ยงเริ่มต้นตามภาพต่อไปนี้



1. Identify Risk การรับรู้และเห็นความเสี่ยงของสิ่งที่เรากำลังทำเป็นจุดที่สำคัญที่สุดในการบริหารความเสี่ยง เพราะส่วนใหญ่แล้วนักธุรกิจหรือนักลงทุนที่ผิดพลาดมักจะไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงที่ตนเองมี ดังนั้นวิเคราะห์และนึกถึงความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นได้จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการบริหารความเสี่ยง

2. Risk Measurement จงนึกถึงกรณีเลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นและระบุถึงปัจจัยใดที่ทำให้เกิดเหตการณ์นั้นได้บ้าง คุณอาจจะทำ Scenario Analysis ที่วิเคราะห์ว่าทางปัจจัยใดๆเปลี่ยแปลงจะส่งผลอย่างไรต่อกิจกรรมที่เราทำ เพื่อประเมิณความเสี่ยงของกิจกรรม เมื่อรู้รับรู้แล้วว่ากิจกรรมของคุณนั้นมีความเสียงมากน้อยอย่างไร ให้เปรียบเทียบกับ Return ของคุณเพราะค้นหาว่ามีวิธีอื่นที่สามารถให้ผลลัพท์เคล้ายกันแต่ความเสี่ยงน้อยกว่าหรือไม่ คุณอาจจะใช้ Risk Matrix เพื่อประเมิณความเสี่ยงสูงต่ำ




จากภาพแสดงถึงบุคคล 3 ประเภท ประเภทแรกคือ
Risk-seeking คือคนที่ค้นหาความเสี่ยงเพราะเห็นความการรับความเสี่ยงจะให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น โดยไม่ได้เข้าใจความเสี่ยงของสิ่งที่ตเองทำ ซึ่งไปแบกรับความเสี่ยงมากกว่า ทั้งๆที่ให้ผลตอบแทนน้อยกว่า

Risk Indifferent คือบุคคลที่รับความเสี่ยงทั้งๆที่ผมจากความเสี่ยงนั้นให้ค่าตอบแทนเท่านั้น (Risk Premium = 0) เป็นการลงทุนให้สิ่งที่เสี่ยงกว่าแต่มีผลตอบแทนเท่านั้น

Risk Averse คือคนที่เข้าใจความเสี่ยงรับความเสี่ยงเพราะต้องการผลตอบแทนที่มากกว่า


จะเห็นว่าหากเราเข้าใจว่า Risk ที่เราแบกรับอยู่นั้นเป็นรูปแบบใดแล้วมีผลตอบแทนเป็นเท่าไหรืน่าพึงพอใจแค่ไหน และจำแนกแยกแยะความเสียงนั้นๆ ว่าคุ้มค่าไหมที่จะเข้าไปรับ จะทำให้เราสามารถจัดกลุ่มพฤติกรรมได้ ดังที่เสนอในแผนภาพซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ความเสี่ยง เพราะบุคคลที่ไม่ได้มองถึงความเสี่ยงนี้และไม่ได้จัดกลุ่มตัวเอง อาจะกำลังอยู่ใน risk seeking ที่เอาตัวเองไปเสี่ยงทั้งๆที่ได้ผลประโยชน์ไม่คุ้มเสียก็เป็นได้ เช่น ในปีก่อนที่คนนิยมลงทุนในพันธบัตรเกาหลี ให้ผลตอบแทน 2.5% มากกว่าพัธบัตรรัฐบาลไทย 1.5% ถามว่าหากผู้ลงทุนกลุ่มนั้นลองพิจรณาถึงความเสี่ยงดูพวกเขาอาจจะไม่ลงทุนก็เป็นได้ เพราะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 1.5% แต่ถ้าเงินบาทอ่อนลง 2 – 3% ละก็เท่ากับว่าพวกเขาขาดทุนไปแล้ว ซึ่งผมมองว่า Risk Premium 1.5% แลกกับอัตราแลกเปลี่ยนนี้มันน้อยมากเกินไปที่เราควรจะเข้าไปแบกรับ


3. Risk Mornitor and Control
การความคุมดูแลความเสี่ยงปกติแล้วผู้บริหารจะทำตาม 3 วิธีได้แก่

1) Risk Avoidance คือการที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยง เช่น เรารู้แล้วว่าการลงทุนในหุ้น Resource จะให้ผลตอบแทนสูงแต่ผลตอบแทนจะมีค่า SD สูงเช่นกัน นักลงทุนบ้างคนอาจจะหลีกเลี่ยงโดยการนำเงินไปลงทุนในหุ้น Food ที่มีความเสถียรมากกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนั้นๆ การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนั้นเป็นการจัดการความเสี่ยง “ก่อน” ที่ความเสี่ยงจะเข้ามาปะทะกับตัวเองซึ่งทำให้ไม่เกิดความเสียหายใดๆ

2) Risk Transfer ความเสี่ยงสามารถจะถ่ายโอนได้ ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายเป็น Risk Premium อยู่บ้างโดยจะเหมาะสำหรับความเสี่ยงทีมีโอกาศเกิดขึ้นน้อยแต่หากเกิดแล้วส่งผลกระทบอย่างรุนแรง การ Tranfer Risk มีเครื่องมือหลักๆ 3 รูปแบบคือ

I. Insurance หมายถึงการถ่ายโอนความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับบริษัทประกันแลกกับการจ่ายเบี้ยประกันให้กับบริษัท
II. Hedging การป้องกับความเสี่ยงโดยใช้เครื่องมือทางการเงินช่วย เช่น การลงทุนแบบ 2 ขาโดยใช้ Swap กับ Future เป็นต้น สองวิธีการข้างต้นเป็นการป้องกันความเสียหาย “หลัง” จากที่ความเสียหายนั้นเกิดขึ้นแล้ว
III. Diversification การกระจายความเสี่ยง หรือการ อย่าใส่ไข่ไว้ในตระกร้าใบเดี่ยวกัน เป็นการป้องกันความเสี่ยงที่สามารเกิดขึ้นโดยกระจายสินทรัพย์ออกไปลงในส่วนต่างๆที่แตกต่างกัน

3) Risk Control คือการที่ผู้บริหารติดตามความเสี่ยงและเหตการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงนั้นๆอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันสถาณการณ์ที่ไม่คาดคิด

Basic of Risk (1)

เมื่อคุณลงทุนในเรื่องใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจหรือการลงทุนทางการเงิน สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้คือการเข้าไปมีส่วนร่วมในสิ่งที่เรียกว่า “ ความเสี่ยง” ซึ่งความเสี่ยงที่ว่านี้ก็ประกอบไปด้วยหลากหลายปัจจัยสุดแท้แต่ ผู้ประกอบการหรือผู้ลงทุนจะวิเคราะห์ออกมาได้ ผมจึงลองพิจารณาตำราเรื่องการบริหารความเสี่ยงเพื่อเพิ่มความรู้ในเรื่องนี้และจะเป็นหัวข้อที่เราจะกล่าวถึงในวันนี้ครับ
ความเสี่ยงโดยส่วนตัวแล้วผมหมายถึง ”การที่เราทำในสิ่งที่เราไม่เข้าใจและไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ” เป็นคำกล่าวสั้นๆ ง่ายๆที่สามารถบรรยายถึงความเสี่ยงได้อย่างเข้าใจง่ายที่สุด ในทางการลงทุนนักลงทุนอาาจะมองความเสี่ยงว่าหมายถึงความผันผวนของมูลค่าหลักทรัพย์ที่ลงทุนไป ซึ่งผมเห็นว่าจะคล้ายกับมองค่า standard Deviation ที่เปลี่ยนเทียบความเสี่ยงไปกับความผันผวน ความเสี่ยงนั้น แบ่งได้หลายหลายรูปแบบโดยเราอาจจะแบ่ง ตามหลักเกณท์ใหญ่คือ systematic risk หมายถึงความเสี่ยงของทั้งระบบหรือทั้งตลาดที่สามารถผู้บริหารไม่สามารถควบคุมได้ และ Unsystematic risk หมายถึงความเสี่ยงที่เราสามารถควบคุมได้ นอกจากนี้ในตำราบ้างเล่มยังแบ่งความเสี่ยงออกตามปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในดังเช่น




จากภาพเราจะเห็นได้ว่าความเสี่ยงนั้น สามารถแสดงออกเป็นสองส่วนคือส่วนที่เป็นผลจากปัจจัยภายนอก(External Factor) โดยจะเป็นส่วนของ Systematic Risk ที่จะส่งผลกระทบถึงตลาดทั้งตลาด ไม่ได้แบ่งแยกเป็นรายบริษัทกับผลจากปัจจัยภายใน (Internal Factor) หรือเป็น Unsystematic risk ที่ขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัทที่จะบังคับจัดการและวางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนั้นๆ โดยทั่วไปแล้วความเสี่ยงที่จัดการได้นั้นจะต้องถูกลดและจัดการโดยผู้บริหารเสียก่อนเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากความผิดพลาดในสิ่งที่สามารถจัดเตรียมได้ แล้วถึงลอง Monitor ออกไปว่าความเสี่ยงภายนอกใดที่เราควรจะต้องระวังและปัจจัยภายนอกนั้นๆ ส่งผลกระทบอย่างไรต่อกิจกรรมที่เราทำและเตรียมวิธีป้องกันเอาไว้ก่อน จึงจะเป็นการรับมือความเสี่ยงที่ถูกต้อง

นอกจากนี้แผนภาพยังแสดงให้เราเห็นว่าความเสี่ยงยังสามารถ แยกออกเป็นรูปแบบย่อยๆ ได้ดังนี้คือ
- Market risk หมายถึงความเสี่ยงที่ราคาขายของสินค้าจะมีมูลค่าที่ต่ำกว่าราคาซื้อของสินค้า
- Liquidity risk มีคำกล่าวว่าระหว่างบริษัทที่ขาดทุนและมีกำไรติดลบ กับบริษัทที่ไม่มีเงินสดพอที่จะชำระหนี้ได้ให้เลือกบริษัทที่ขาดทุนจะดีกว่า เพราะทางธุรกิจบริษัที่ไม่มีเงินสดพอที่จะชำระหนี้และไม่สามารถที่จะผ่อนผันได้อีกต่อไป หมายถึงการจบเกมส์ธุรกิจไปแล้ว ดังนั้นการเลือกลงทุนเราควรจะพิจราณาถึงระยะเวลาในการคืนทุนและช่วงเวลาที่เราต้องใช้ในการลงทุนในสินทรัพย์นั้นๆด้วย นอกจากนี้เรายังควรที่จะถือสินทรัพย์ที่มีความสามารถในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว เพื่อสำรองไว้ในยามฉุกเฉิน
- Credit risk หมายถึงการที่บริษัทกู้เงินมามากและไม่สามารถที่จะคืนดอกเบี้ยและเงินต้นได้ทันเวลา เราสามารถดูได้จากค่า D/E ratio ที่จะบ่งบอกถึงความเสี่ยงชนิดนี้
- Strategy risk หมายถึงความเสี่ยงที่กลยุทธ์ที่ว่างไว้นั้นจะไม่สำเร็จผล คือการที่ผู้ประกอบการหรือผู้ลงทุนมีการวางยุทธศาสตร์ที่ผิดนั้นเอง
- Operational risk หมายถึงความเสี่ยงจากการปฎิบัติงาน ที่ผู้ลงมือปฏิบัติงานไม่สามารถทำตามแผนการที่วางไว้ได้อย่างลุล่วง เช่น การที่กองทุนตั้งเป้าหมายว่าจะทำการลงทุนแบบ Conservative แต่กลับไปลงทุนแบบ Aggressive ซึ่งผิดกับแผนการที่วางไว้


จากภาพนี้ผมได้ยกตัวอย่างของปัจจัยที่มีผลกับความเสี่ยงของทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งการที่เราสามารถเข้าใจถึงความเสี่ยงในสิ่งที่ตนเองทำ (Identify Risk) จะเป็นการป้องกันเราจากเหตการณ์เลวร้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหมายถึงการที่เรามีการบริหารความเสี่ยงที่ดีนั้นเอง