6/14/2554

Why

หาก เราไปถามใครๆ ที่พบในชีวิตประจำวันของเราว่า อยากเป็นผู้ประกอบการหรือไม่ คนส่วนใหญ่ก็มักจะตอบว่าต้องการเป็นเกือบทุกคน แต่สิ่งที่เราสังเกตเห็นก็คือว่ามีเพียงคนส่วนน้อยนิดเท่านั้นที่ได้ออกมา เป็นผู้ประกอบการจริงๆ และนั่นก็ทำให้เราเกิดความสงสัยว่า ทำไมทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่ต้องการแต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นผู้ประกอบการ

ไม่ ว่าคนนั้นจะกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยใกล้จะเกษียณอายุแล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะให้เหตุผลไปต่างๆ เช่น ไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจอะไร ทำไปก็อาจจะไม่รอด ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ไม่มั่นใจว่าตนเองจะทำได้ ไม่มีเงินทุน ไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีสายสัมพันธ์ ไม่กล้าเสี่ยง มีครอบครัวมีลูกต้องเลี้ยงดู มีรถต้องผ่อน มีบ้านต้องจ่าย มีค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบ ไม่มีเวลา และอื่นๆ

แต่ อุปสรรคที่สำคัญของการเป็นผู้ประกอบการอย่างหนึ่งคือรูปแบบการดำเนินชีวิต ของเรานั่นเอง หากไม่ได้มีฐานะทางการเงินมั่งคั่ง พอเราโตขึ้น ทำงาน แล้วได้ผ่อนรถ เราก็เริ่มติดกับดักของการผ่อนชำระเงินกู้ สิ่งนี้ก็ทำให้เราไม่กล้าตัดสินใจออกจากงานประจำที่มีรายได้แน่นอนไปสู่การ เป็นเจ้าของกิจการที่มีรายได้ไม่แน่นอน เพราะนั่นเป็นความเสี่ยงที่เกินกว่าที่เราจะรับได้ รวมถึงเมื่อเราแต่งงานมีครอบครัวและมีลูก เราก็เริ่มที่จะต้องส่งเสียค่าเล่าเรียนของลูก ทำให้ความสามารถในการรับความเสี่ยงของเราลดน้อยลงจนแทบไม่เหลือ

อุปสรรค อีกอย่างคือเวลา การทำงานประจำได้กินเวลาในชีวิตของเราเกือบทั้งหมดจนเราไม่สามารถที่จะไปหา ลู่ทางทำธุรกิจอื่นๆ ได้นอกจากธุรกิจที่เรากำลังทำงานประจำนั้นอยู่ ถึงแม้ว่าบางครั้งโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจจะลอยเข้ามาให้เราเห็นเป็นบาง ช่วง แต่ด้วยอุปสรรคที่เราไม่สามารถรับความเสี่ยงในชีวิตของเราได้ก็ทำให้เราติด อยู่กับงานประจำต่อไปเรื่อยๆ หรือบางทีธุรกิจที่เราทำงานประจำอยู่นั้น เราก็ไม่สามารถมองเห็นลู่ทางในการทำธุรกิจเป็นของตนเอง

ความ เชื่อของเราได้กลายเป็นอุปสรรค เราคงเคยได้ยินมาว่าจะเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จนั้นนอกจาก “เก่ง” แล้วยังต้อง “เฮง” อีกด้วย สำหรับคนที่มีเป้าหมายต้องการเป็นผู้ประกอบการ สิ่งที่ได้ยินมานี้คงไม่ใช่เรื่องสำคัญมากนัก หากเราไม่ได้เชื่อในเรื่องนี้มากจนได้ยกเลิกเป้าหมายของการเป็นผู้ประกอบการ ออกไป เพราะไม่ว่าเราจะเก่งหรือจะเฮง หากเรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ประกอบการแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือเดินหน้าต่อไปนั่นเอง

สิ่ง ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอุปสรรคของคนที่มีเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการทั้ง สิ้น คนที่มีมุมมองไปในเรื่องของอุปสรรคต่างๆ และได้ตัดสินใจที่จะยุติการเป็นผู้ประกอบการก็ทำให้ทุกสิ่งได้จบลงโดยยังไม่ ทันลงมือกระทำสิ่งใดๆ แต่มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่ถึงแม้ว่าจะรับรู้ถึงอุปสรรคต่างๆ แต่ก็ได้คิดต่อถึงวิธีการในการก้าวข้ามอุปสรรคทั้งหลายนั้น และมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าต่อไปเพื่อเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จใน วันหนึ่งข้างหน้า

ดัง นั้นการมีเป้าหมายที่กำหนดไว้ชัดเจนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เปรียบเสมือนการออกเดินทางจากจุดหนึ่งไปถึงที่หมาย หากเราไม่ทราบว่าที่หมายที่เราต้องการไปคือสถานที่แห่งใด เราย่อมไม่มีทางที่จะไปถึงที่หมายนั่นได้อย่างรู้ตัว และบางทีเราก็อาจจะเดินทางไปมาโดยวนเวียนอยู่กับที่เดิม การกำหนดเป้าหมายจึงเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดของเราทีเดียว

บาง คนพอเวลาผ่านไปได้กลับมานั่งเสียใจถึงช่วงเวลาในอดีตที่ตนเองไม่ได้ทำสิ่ง นั้นสิ่งโน้น นั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ตระหนักรู้ถึงความปรารถนาที่แท้จริงของตนเอง แล้วก็ปล่อยให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นโดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงการลงมือทำใดๆ เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ก็ยากที่จะแก้ไขหรือกลับทิศทางในการดำเนินชีวิต ของตนเองเสียแล้ว

หากเราถูกถามว่าเป้าหมายในชีวิตของเราอีก 3 เดือนข้างหน้าคืออะไร อีก 1 ปีข้างหน้าคืออะไร หรืออีก 3 ปี ข้างหน้าคืออะไร คนถูกถามก็มักจะงงแล้วก็ไม่มีคำตอบใดๆ ออกมา นั่นเพราะชีวิตของเราเองได้ปล่อยให้กิจวัตรประจำวัน โอกาสและแรงบีบคั้นจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่เกิดขึ้นในแต่ละวันนำพาชีวิตของ เราไปโดยที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่ได้คิดจะควบคุมการดำเนินชีวิตของตัวเอง เปรียบเสมือนเรือที่ล่องลอยไปอยู่ในน้ำที่ไหลเชี่ยวโดยไม่ได้พายเรือ หากกระแสน้ำได้พาเรือไปสู่สถานที่ซึ่งดีตามที่เราปรารถนา เราก็จะมีความสุข แต่หากเป็นตรงกันข้าม เราก็จะมีความทุกข์

ชีวิต บางคนได้ถูกกำหนดไว้เป็นที่เรียบร้อยล่วงหน้าแล้วว่าเมื่อเรียนจบก็จะรับสืบ ทอดกิจการต่อจากที่บ้าน และก็ได้กลายเป็นผู้ประกอบการธุรกิจนั้น ในขณะที่บางคนไม่มีธุรกิจทางบ้าน หลังจากเรียนจบปริญญาตรีก็จะใคร่ครวญว่าจะเรียนต่อปริญญาโทหรือทำงานทันที เลย ในช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกทางเดินในชีวิต ณ จุดนั้นเราก็พบว่าการสมัครเข้าทำงานเป็นทางเลือกที่ดูแน่นอนเมื่อเปรียบ เทียบกับการเป็นผู้ประกอบการ เนื่องจากเราสามารถเห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่าเราจะเข้าทำงานที่ไหน ตำแหน่งอะไร ได้รับเงินเดือนเท่าไร และมองเห็นถึงความก้าวหน้าทางอาชีพในแต่ละสายงาน

แต่ การตัดสินใจออกมาเป็นผู้ประกอบการดูเหมือนไม่มีหนทางที่ชัดเจนใดๆ ให้เราเห็นได้ หากเราถามว่าการจะเป็นผู้ประกอบการเริ่มต้นอย่างไร ก็ดูเหมือนคำตอบที่ได้รับในแต่ละคนก็หลากหลายแตกต่างกันไป เช่น ไปเอาสินค้ามาขาย ไปหาลูกค้าที่ต้องการซื้อ ไปเรียนรู้วิธีการผลิตสินค้าหรือบริการ ไปเก็บเงินทุน ไปหาทำเลร้านค้า ไปซื้อแฟรนไชส์ และอื่นๆ คำตอบเหล่านั้นก็ล้วนอาจทำให้เราเกิดความสับสนมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะความเป็นจริงแล้วทางที่จะไปเป็นผู้ประกอบการนั่นไม่ได้มีเพียงทางเดิน ทางเดียวเท่านั้น สาเหตุเพราะตำแหน่งที่แต่ละคนอยู่มีความแตกต่างกันไปนั่นเอง

นอก จากนั้นการเป็นผู้ประกอบการก็ยังเป็นเป้าหมายที่ดูกว้างมากเกินไปอีกด้วย เพราะคำว่า “ผู้ประกอบการ” อาจจะหมายถึงได้ตั้งแต่เจ้าของร้านขายก๋วยเตี๋ยวข้างถนน เจ้าของร้านส้มตำห้องแถว เจ้าของห้างสรรพสินค้า ไปตลอดจนเจ้าของอภิมหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ หนทางที่จะเป็นผู้ประกอบการของเราจึงยิ่งดูสับสนมากขึ้นเข้าไปอีก

ทั้ง ความคลุมเครือสับสนและอุปสรรคนานาประการของการจะเป็นผู้ประกอบการทำให้เรา ไม่สามารถมองเห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับหากเราสามารถกลายเป็นผู้ประกอบการ ได้ เพราะปลายทางความสำเร็จตรงนี้ดูออกจะริบหรี่มาก ก้าวเดินต่อไปในการเป็นผู้ประกอบการของเราก็ดูมืดมนและไร้ซึ่งความชัดเจน เปรียบเสมือนเดินอยู่ในห้องที่มืดมิดโดยไม่เห็นแสง และทั้งหมดเหล่านี้จึงได้กลายเป็นด่านคัดกรองกักขังคนทั้งหลายไว้และให้มีคน เพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะลอดผ่านไปได้เพื่อลิ้มรสกับความสำเร็จที่ไม่รู้จะ เกิดขึ้นเมื่อใดนั่นเอง



ข้อมูล : ดร. วีรวงศ์ พิพิธสุขสันต์ veerawong.p@gmail.com