6/14/2554

มหิดล สัมมนา

สมิทธิ์ วัฒนาพร" และ "ปีเตอร์ ทวีผลเจริญ" คือ สองตัวแทนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในกลุ่มธุรกิจอาหาร ที่เข้าร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวคิดในการสร้างธุรกิจใหม่ของผู้ ประกอบการรุ่นใหม่ ที่จัดโดยวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา

สองหนุ่มผู้ไม่ธรรมดา คนหนึ่งคือเจ้าของธุรกิจซอสปรุงรสแบรนด์ “สุรีย์” ที่เฉิดฉายอยู่ใน 54 ประเทศทั่วโลก กับอีกคนคือผู้ปลุกปั้น “แด๊ดดี้ โด” โดนัทสายพันธุ์ไทย ที่แข่งขันกับแบรนด์ดังได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ทว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เส้นทางธุรกิจของพวกเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนุ่มๆ บางครั้งก็มีหนามแหลมให้เหยียบย่ำกันบ้าง เรียกว่า ต่างต้องเผชิญกับโจทย์ที่ทั้งหินและท้าทายด้วยกันทั้งคู่

ชื่อของ “สุรีย์ อินเตอร์ฟู้ดส์” อาจไม่คุ้นหูนักสำหรับคนไทย เพราะตลาดหลักของพวกเขาอยู่ในต่างประเทศ แต่ถ้าบอกว่านี่คือ ทายาทเจ้าของธุรกิจน้ำจิ้มไก่ “พันท้ายนรสิงห์” คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักพวกเขา

แต่การถือกำเนิดขึ้นของแบรนด์ “สุรีย์” ไม่ได้อาศัยต้นทุนเดิมจาก “พันท้ายนรสิงห์” หากเกิดจากการเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ กับคนงานยุคตั้งไข่เพียงแค่ 10 คน เป้าหมายคือเพื่อนำน้ำจิ้มไก่และซอสปรุงรสจากไทย ไปขายในตลาดต่างประเทศ "สมิทธิ์ วัฒนาพร" ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สุรีย์ อินเตอร์ฟู้ดส์ ทายาทรุ่น 2 บอกเล่าที่มาของธุรกิจ

“ตอนนั้นคุณปู่ทำตลาดในประเทศ แต่คุณพ่อผมเห็นว่าเราควรไปต่างประเทศได้แล้ว เพราะขนาดซอสไฮน์ยังมาขายบ้านเราได้ ทำไมน้ำจิ้มไก่จากไทยจะไปต่างประเทศบ้างไม่ได้ คุณพ่อจึงออกมาตั้งโรงงานของเราเอง และเริ่มขยายไปตลาดต่างประเทศ เมื่อประมาณ 15 ปี ที่ผ่านมา”

แบรนด์สุรีย์ ค่อยๆ สร้างความคุ้นเคยกับก้นครัวฝรั่ง จนทำให้น้ำจิ้มไก่กลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมการกินที่คุ้นลิ้นต่างชาติมากขึ้น และทำรายได้ให้พวกเขาปีละกว่า 100 ล้านบาท ภาพนี้เกิดขึ้นในวันที่ “สมิทธิ์” ยังไม่ได้เข้ามาสานต่อธุรกิจ จนเมื่อคุณพ่อของเขาจากไปอย่างกะทันหัน พร้อมกับหนี้สินที่มากถึง 150 ล้านบาท

“ผมในฐานะลูกชายคนโต มีทางเลือกแค่สองทาง 1.ขายโรงงานทิ้ง และ 2. ตัดสินใจทำต่อ ผมคิดว่าถ้าขายโรงงานทิ้งไป วันหนึ่งเราใช้เงินหมดก็ต้องออกไปขายลูกชิ้นปิ้งแน่ ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เลยเลือกที่จะสู้ต่อ สู้กับหนี้กว่า 100 ล้านบาทในวันนั้น”

คนหนุ่มในวัย 26 ปี ต้องแบกภาระหนี้สูงถึง 150 ล้านบาท เพื่อประคองธุรกิจของพ่อให้อยู่รอด ปัญหาที่วิ่งชนเต็มๆ ก็คือ ลูกน้องหมดความเชื่อใจ ยกทีมออกไปชุดใหญ่ แบงก์เมิน เครดิตถูกตัด ลูกค้าในประเทศที่ซื้อเพื่อส่งออก หายเกลี้ยงชนิดที่เขาบอกว่า…

“เงินบาทหนึ่งก็ไม่เหลือไว้ให้” มีแค่ลูกค้าต่างประเทศที่ช่วยต่อลมหายใจ แต่ยอดขายก็หดหายไปกว่าครึ่ง

“ตอนนั้นเราจำเป็นต้องใช้เงินสด จากที่ผมเคยมีบ้าน มีรถ ก็ขายมันไปหมดทุกอย่าง เพื่อเอาเงินมาใช้กับโรงงานก่อน แล้วค่อยๆ ทยอยผ่อนแบงก์ไป แต่อย่างไรมันก็ยังไม่พอ ผมจึงเริ่มไปหาลูกค้าเก่าของคุณพ่อ ด้วยการทำธุรกิจแบบไว้เนื้อเชื่อใจกันมาก่อน สุดท้ายเขาก็ยอมช่วยเรา โดยโอนเงินให้ก่อน แล้วบอกผมว่า อย่าทำเสียนะ ผมบอกเขาว่า ผมจะไม่ทำให้โอกาสที่ผมได้มามันเสียไปแน่นอน เพราะมันคืออนาคตของผม”

เมื่อรู้ว่าตนเองอ่อนเปลี้ยเรื่องการตลาด สมิทธิ์จึงเลือกที่จะหาผู้ช่วย ด้วยการตั้งทีมขายขึ้นมา ทำงานเป็นทีม ปรึกษาซึ่งกันและกัน ขยายทีมงานที่ดูแลตลาดต่างประเทศ จนฟื้นลมหายใจธุรกิจขึ้นมาอีกครั้ง

หนี้ 150 ล้านบาท ผู้ประกอบการพันธุ์อึดอย่างเขา ใช้เวลาเพียง 6 ปี ก็ล้างหนี้ได้ทั้งหมด ไม่เท่านั้นยังสามารถขยายตลาดไปใน 54 ประเทศทั่วโลก ฟื้นโรงงานที่เกือบจะล้ม ให้กลับมามีชีวิตชีวา มีพนักงานมากถึง 600 คนในปัจจุบัน

"จนถึงทุกวันนี้ ผมคิดว่าเรายังเพิ่งเริ่มต้น ยังเล็กอยู่ เป้าหมายของผมคือ อยากพาอาหารไทยไปทั่วโลก ไม่เพียงแบรนด์สุรีย์เท่านั้น แต่อยากให้ผู้ประกอบการไทยได้ไปเปิดตลาดในประเทศใหม่ๆ เพราะอาหารไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก การพาอุตสาหกรรมอาหารไทยไปสู่อินเตอร์ คือความฝันของผม”

มาถึงแบรนด์ “แด๊ดดี้ โด” แม้จะไม่ได้เริ่มต้นธุรกิจพร้อมหนี้สินแบบแบรนด์ “สุรีย์” แต่ก็ต้องออกจากลู่วิ่งแบบไม่มีแต้มต่อ ขณะที่ในตลาดมีแบรนด์ที่ครองความเป็นหนึ่งอยู่แล้ว ทุกอย่างจึงเต็มไปด้วยความยาก

สิ่งที่ผู้มาใหม่ทำ คือเริ่มจากเขียนแผนธุรกิจ วิธีนี้ทำให้เขารู้เห็นอะไรมากขึ้น ไม่เพียงสร้างความชัดเจนในแบรนด์ของตัวเองเท่านั้น หากยังทำให้เขารู้จักคู่แข่ง รู้ความคิดของคู่แข่ง รวมไปถึง “รู้ช่องโหว่” ที่จะเปิดทางให้พวกเขาเข้าไปเบียดแทรก

“เราวางตัวเองแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดอย่างสิ้นเชิง โดนัทของเราลูกค้าก็รู้ได้ทันทีถึงความต่าง ไม่เหมือนกับที่มีอยู่ในตลาด เราใช้เวลาเทสต์โปรดักท์ประมาณครึ่งปี จนมั่นใจจึงเริ่มขยายสาขา ผมเริ่มธุรกิจนี้ในปี 49 พอปี 50 เริ่มเปิดสาขาที่ 2 และ 3 ตามมา จากนั้นขยายสาขาปีละ 6-8 สาขา จนปัจจุบันมีอยู่ที่ 24 สาขา”

สำหรับธุรกิจที่เติบโตได้จากการขยายสาขา ดูจะเป็นเรื่องหนักอกสำหรับคนพันธุ์เล็ก น้องใหม่ ไล่ตั้งแต่ พื้นที่ในห้างส่วนใหญ่ถูกแบรนด์ดังยึดหัวหาดหมดแล้ว เปิดร้านก็ต้องจ้างพนักงานซึ่งไม่ค่อยอยากมาอยู่กับแบรนด์เล็กๆ

สิ่งที่ผู้ประกอบการน้องใหม่ทำคือ “ลองผิด ลองถูก เรียนรู้ และมีน้ำอดน้ำทน” เริ่มจากเซตระบบการทำงาน สร้างกระบวนการที่ทำให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น อบรมพนักงาน พาไปฟังสัมมนาเพื่อให้กลับมาพัฒนางานของตัวเอง
ขณะที่การทำร้าน ก็ต้องลงมาศึกษาด้วยตนเอง เพื่อหาวิธีลดค่าใช้จ่าย ไม่โยนงานให้ผู้รับเหมาทั้งหมด อะไรทำเองได้ ก็ทำ จนสามารถลดค่าใช้จ่ายในการทำร้านลงได้กว่าครึ่ง การขยายสาขา ก็ขยันเดินเข้าหาห้างต่างๆ ให้บ่อยขึ้น เพื่อพิสูจน์ตัวเอง

ที่สำคัญคือ เรียนรู้มารยาทธุรกิจ ขยันสร้างมิตรมากกว่าศัตรู ก็จะอยู่เป็นแบรนด์เล็กที่ยั่งยืนในตลาดได้

“แด๊ดดี้ โด” ยังมีไอดอล คือ “เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป” แบรนด์ใหญ่ที่มีหลายแบรนด์อยู่ในมือที่ทุกวันนี้โกอินเตอร์ไปแล้ว โดยเป้าหมายของธุรกิจพันธุ์เล็กอย่างเขาคือ วันหนึ่งจะมีโอกาสเอาแบรนด์ไทย ไปเติบใหญ่ในต่างประเทศดูบ้าง

“ผมอยากจะสร้างแบรนด์คนไทยที่มีมาตรฐาน น่าเชื่อถือ สามารถส่งออกไปต่างประเทศได้ แต่ก่อนที่เราจะไป เราอยากให้ตัวเรามั่นคงในประเทศก่อน ไม่ใช่ปล่อยให้ใครมาบุกบ้านเราเต็มไปหมด… เราจะมองไมเนอร์ไว้ แล้วจะเป็นแบบไมเนอร์”

ชีวิตที่ผ่านมาเต็มไปด้วยการเรียนรู้ เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และสั่งสมภูมิรู้เพื่อแก้ปัญหาในอนาคต พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้ประสบการณ์ที่อ่อนด้อยของตนเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้บริหาร “แด๊ดดี้ โด” จะเป็น “ขาประจำ” งานสัมมนา เรียกว่าที่ไหนจัดถ้าเขามีเวลามักจะไม่พลาด เพราะเชื่อว่าผู้ประกอบการต้องไม่ทิ้งสัญชาตญาณนักล่า ต้องขวนขวายหาความรู้ใหม่ๆ มาใช้ในการตัดสินใจของตนเองอยู่เสมอ

จะเจนสนาม หรืออ่อนหัดประสบการณ์ แต่ถ้าไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา ก็ไปถึงเส้นชัยได้เหมือนกัน
……………………………………
Key to success
สู้แบบผู้ประกอบการรุ่นใหม่
๐ ตั้งสติ ไม่กลัวปัญหา
๐ แสวงหาโอกาสที่เหลืออยู่
๐ รู้ทันคู่แข่ง
๐ คิดให้ต่าง
๐ เรียนรู้ มีน้ำอดน้ำทน
๐ ตั้งเป้าหมายและไปให้ถึงเส้นชัย