Depository Financial Instituties หมายถึง FIs รูปแบบหนึ่งที่ยอมรับการฝากเงินจากบุคคลผู้มีเงินออม โดยผมอยากจะอธิบายเพิ่มเติมถึง FIs รูปแบบนี้ซึ่งผมคิดว่าเป็น FIs ที่คนมักจะนึกถึงเสมอๆ เพราะทำหน้าที่ตามที่ผมได้เคยอธิบายไว้นั้นเอง
Depository FIs มีหน้าที่หลักก็คือ รับฝากเงิน (Deposit) และปล่อยกู้ (Loan) เป็นหน้าที่หลักนั้น ในปัจจุบันหน้าที่และผลิตภัณท์ทางการเงิน ของ Depository FIs มีหลากหลายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ค่อยๆคล้ายคลึงกันมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นนั้นก็เป็นเพราะการบริการรูปแบบนี้ แต่ละองค์กรก็ทำได้ใกล้เคียงกันมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น บริการส่วนใหญ่ที่มีใน SCB ก็จะพบใน KBANK เป็นต้น
ปัจจุบันนอกจากรับฝากและปล่อยกู้แล้ว Depository FIs ยังให้บริการชำระค่าใช้จ่ายๆต่างๆ บริการออมเงินด้วยผลิตภัณท์ต่างๆและบริการประกาศ (Issue) ทั้ง Equity(Stock) และ Debt(Bond) ให้กับบริษัทอีกด้วย Depository FIs นั้นมักจะเป็นเหมือนบริษัทแม่ของ FIs อื่นๆ เช่น บริษัทประกันหรือบริษัทหลักทรัพย์และวาณิชธณกิจ ร่วมถึงบริษัทจัดการกองทุน ที่ทำให้ Depository FIs สามารถทำงานได้หลากหลายอย่าง อย่าง KBANK เองก็จะมี KASSET, KSECURITIES เป็นต้น
ขนาดของ Depository FIs จะวัดกันที่ปริมาณของ Asset เพื่อดูความใหญ่ของบริษัท ดังนั้นการควบรวมกิจการ จึงเป็นคำตอบของการขยายตัวของ Depository FIs ทางหนึ่ง แต่หากเป็นบริษัทหลักทรัพย์จะดูโดยการสังเกตจากจำนวน account ผู้ใช้บริการและ Investment Banking จะดูจากความใหญ่ของบริษัทลูกค้า
Depository FIs สามารถแบ่งออกเป็น 3 แบบใหญ่ๆ ได้แก่
1). Commercial Bank
เป็น FIs ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดรูปแบบหนึ่ง โดยเป็นธนาคารที่รับฝากเงินจากบุคคลและนำไปปล่อยกู้ให้กับธุรกิจ โรงงานหรือที่อยู่อาศัย เพื่อเงินดอกเบี้ย FIs จะได้กำไรจากส่านต่างระหว่างอัตราเงินฝาก และอัตราการกู้ยืม โดยเราสามรถดูได้จากส่วนต่างของ ROA และ ROE ได้เพื่อวัด FLE ว่าFIs นำเงินที่ได้จากบุคคลไป สร้างเป็นกำไรได้มากน้อยขนาดไหน ความเปลี่ยนแปลงของ Commercial Bank มักจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงกฏของประเทศ จึงจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดย Commercial Bank สามารแตกย่อยออกได้เป็น 3 ส่วนอีกคือ
- Community Bank เป็น ธนาคารเล็กที่เน้นการบริการในชุมชน โดยใช้ความสัมพันธ์กับคนในชุมชนเป็นจุดแข็งให้คนในชุมชนใช้บริการ อาจจะมีค่าธรรมเนียและผลประโยชน์น้อยกว่าแต่ใช้ความสัมพันธ์เข้าช่วย มักจะได้รับเงินหมุนเวียนจากการรับฝากเงิน Deposit มากที่สุด
- Regional and super regional bank เป็นธนาคารขนาดกลางที่มีทั้งนำเงินจากการรับฝากไปปล่อยกู้และกู้เงินจากธนาคารอื่นมาเพื่อปล่อยกู้แทน (Federal Fund Market) จะให้กู้ในปริมาณที่มาก ในการทำธุรกิจและการทำอุตสาหกรรม โดยอาจจะไม่ได้สนใจรายเล็กน้อยเท่าใดนัก
- Money Center bank เป็นธนาคารกลางที่ยืมเงินจากสถาบันอื่นมาปล่อยกู้เท่านั้นจะปล่อยในโครงการระดับชาติที่ใหญ่มากๆ
Balance sheet ของ Depository FIs
ด้าน Liability จะมีเงินฝาก (Deposit) เป็นส่วนประกอบหลักอาจจะมี Debt จากการกู้ยืมเงินธนาคารอื่นบ้าง โดยปัญหาของธนาคารคือการที่นำ STD ไปใช้กับ LTA หากมีการบริหารผิดพลาดจะเป็นปัญหาได้ (Mismatch of Maturities)
ด้าน Asset จะประกอบไปด้วยเงินปล่อยกู้เป็นส่วนประกอบหลัก ทั้ง Mortgages loan และ Industry loan และอาจจะมีรายการ การลงทุนอยู่บ้าง การที่เกิด NPL จะทำให้ asset นี้กลายเป็น 0 ซึ่งจะทำให้ Equity ของ Bank ลดลงได้ ดังนั้น NPL จึงเป็นปัญหาในด้านของ Asset สำหรับเงินสดนั้น Bank จะถือน้อยมากเพราะมันไม่ทำให้เกิดรายได้
แนวโน้มของธนาคารในอนาคต
I. ในอนาคตพบว่างานหลักซึ่งคือการปล่อยกู้ loan ของธนาคารนั้นจะลดลงเรื่อยๆ เพราะธุรกิจมีช่องทางอื่นในการระดมทุนมากขึ้น เช่น SET และ issue debt เพราะทั้งสองส่วนนั้นไม่ต้องพึ่งพา หลักประกัน
II. การใช้ short term debt securities จะมีมากขึ้น
III. การให้ยืมในส่วนของ Mortgages loan จะมีความเข้มงวดมากขึ้น
Off Balance Sheet Activity
บางส่วนของกิจกรรมของธนาคาร อาจจะยังไม่มีนัยสำคัญใดๆ จนกว่าที่จะมีเหตการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ธนาคารจึงไม่ได้ลง ใน B/S ไว้โดยกิจกรรมนั้นๆ ได้แก่
Letter of credit: ธนาคารรับทำหนังสือประกันว่าลูกค้าจะจ่ายเงินให้กับผู้ขายในต่างแดนอย่างแน่นอน หากทุกอย่างราบเรียบ ธนาคารก็จะได้เงิน Fee แต่หากไม่ ธนาคารต้องรับหน้าที่จ่ายแทนผู้ที่ธนาคารออก L/C ให้โดยจะทำให้เกิด liability จำนวนมากใน B/S
Derivatives position: การที่ธนาคารถือ Derivatives position จำนวนมากหากเหตการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจะทำให้บริษัทเสียหายมาก
Loan Commitment: การที่ธนาคารให้คำมั่นว่าจะให้ธุรกิจยืมเงิน หากไม่เกิดการยืมเงินก็จะไม่มีอะไรแต่ถ้าเกิดการยืมเงินขึ้น asset ก็จะเพิ่มขึ้น
Loan sold: ธนาคารขายการปล่อยกู้ไป โดยจะเป็นการลด NPL Asset ออกไปจาก B/S
When issue Securities:
ธนาคารในอนาคตจะสนใจในส่วนของ Service Fee มากขึ้นอย่างเช่น ธนาคาร SCB ที่ได้เปลี่ยน Strategic มาสนใจในส่วนนี้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากเพื่อชดเชยการขาดหายไปและความไม่แน่นอนของ Spread กำไร ซึ่ง Service Fee นั้นอาจจะมาจาก Management asset fee เป็นต้น หรือาจจะมาจาก Correspondent banking ที่ธนาคาร นำ Service ไปบริการใน Bank อื่นที่ไม่มี service เหมือนตนเอง
กฏสำคัญของ Commercial Bank
- Federal Deposit Insurance Corporation: ธนาคารกลางจะมีการรับประกันเงินฝากให้กับบุคคลที่นำเงินฝากแบงค์ ปัจจุบัน อยู่ที่ 1m / account
- Federal Reserve System: ธนาคารจะต้องมีเงินกันสำรองส่วนหนึ่งเพื่อประกันความมั่นคงของ Bank ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตาม Monetary policy ของประเทศที่จัดการบังคับ Interest rate เพื่อควบคุม Money Supply หรือเงินในกระเป๋าของคุณ เช่น ถ้า Government ออก Bond มันก็จะเงินก็จะไหลไปอยู่กับ Government เป็นต้น
2). Saving Institutions
เป็นรูปแบบของ Depository FIs ที่จะมีน้อยลงเรื่อยๆในอนาคต โดยในไทยจะไม่มี คือผู้ฝากเงินจะได้ความเป็นเจ้าของด้วย ซึ่งมันจะไม่มีความเป็นเจ้าของเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไป ทำให้การพัฒนาเกิดขึ้นได้ยากลำบาก
3). Credit Unions
มันก็คือสหกรณ์ที่เกิดจากการรวมกลุ่มกันขององค์กรหรือกลุ่มบุคคลเฉพาะกลุ่มที่ share common bond คือกลุ่มบุคคลที่มีลักษณธบางอย่างที่เหมือนกัน เช่น เป็นครูของรัฐเหมือนกัน โดยที่อำนาจและประโยชน์จะอยู่ภายในเฉพาะกลุ่มเท่านั้น เช่น สหกรณ์ครูที่เฉพาะ ครูถึงได้ประโยชน์และกู้เงินได้ โดยอาจจะมีสิทธิที่พิเศษกว่า commercial bank เช่น ได้ดอกเบี้นถูกกว่า สหกรณ์นั้นยังไม่ต้องไปจ่าย taxes อีกด้วย
อนาคตของ Depository FIs
มีการแข่งขันกันที่รุนแรงมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่อนุญาตให้ ธนาคารจากต่างชาติเข้ามาแข่งขันได้ ยิ่งสนับสนุนหัวข้อนี้อย่างมาก อย่างไรก็ตามการแข่งขันจะอยู่กันเจ้าใหญ่ๆ เท่านั้นโดยที่เจ้าเล็กก็จะตายลง
จะมีการเพิ่มขึ้นของ Off balance sheet activity แน่นอนเพราะมีการกระจายช่องทางในการหารายได้มากขึ้น เนื่องจาก Spread อย่างเดี่ยวจะไม่พออีกต่อไป