6/04/2554

Basic of Risk (2)

เพื่อต่อเนื่องจากบทความที่แล้วบทความนี้เราจะพูดถึงเรื่องของการบริหารความเสี่ยงให้มากขึ้นครับ โดยการบริหารความเสี่ยงจะมีความหมายว่า “การบ่งชี้ ประเมิณและความคุมดูแลความเสี่ยงเพื่อป้องกันไม่ให้เริ่องราวที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น” เพราะหากเราทำความเข้าใจและรับรู้สิ่งเลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้แล้วนั้น การตอบสนองของเราต่อปัจจัยกระทบก็จะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นอีกด้วย การบริหารความเสี่ยงนั้นโดยมากจะเป็นไปเพื่อรับรู้ความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงความเสสี่ยงนั้น ไม่ใช่การโหมตัวเข้าไปปะทะกับความเสี่ยงนั้นๆ นะครับ ซึ่งการบริหารความเสี่ยงบริหารเป็นกระบวนการก่อนแล้วจึงประเมิณด้วยวิธีทางคณิตศาสตร์ โดยกระบวนการบริหารความเสี่ยงเริ่มต้นตามภาพต่อไปนี้



1. Identify Risk การรับรู้และเห็นความเสี่ยงของสิ่งที่เรากำลังทำเป็นจุดที่สำคัญที่สุดในการบริหารความเสี่ยง เพราะส่วนใหญ่แล้วนักธุรกิจหรือนักลงทุนที่ผิดพลาดมักจะไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงที่ตนเองมี ดังนั้นวิเคราะห์และนึกถึงความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นได้จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการบริหารความเสี่ยง

2. Risk Measurement จงนึกถึงกรณีเลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นและระบุถึงปัจจัยใดที่ทำให้เกิดเหตการณ์นั้นได้บ้าง คุณอาจจะทำ Scenario Analysis ที่วิเคราะห์ว่าทางปัจจัยใดๆเปลี่ยแปลงจะส่งผลอย่างไรต่อกิจกรรมที่เราทำ เพื่อประเมิณความเสี่ยงของกิจกรรม เมื่อรู้รับรู้แล้วว่ากิจกรรมของคุณนั้นมีความเสียงมากน้อยอย่างไร ให้เปรียบเทียบกับ Return ของคุณเพราะค้นหาว่ามีวิธีอื่นที่สามารถให้ผลลัพท์เคล้ายกันแต่ความเสี่ยงน้อยกว่าหรือไม่ คุณอาจจะใช้ Risk Matrix เพื่อประเมิณความเสี่ยงสูงต่ำ




จากภาพแสดงถึงบุคคล 3 ประเภท ประเภทแรกคือ
Risk-seeking คือคนที่ค้นหาความเสี่ยงเพราะเห็นความการรับความเสี่ยงจะให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น โดยไม่ได้เข้าใจความเสี่ยงของสิ่งที่ตเองทำ ซึ่งไปแบกรับความเสี่ยงมากกว่า ทั้งๆที่ให้ผลตอบแทนน้อยกว่า

Risk Indifferent คือบุคคลที่รับความเสี่ยงทั้งๆที่ผมจากความเสี่ยงนั้นให้ค่าตอบแทนเท่านั้น (Risk Premium = 0) เป็นการลงทุนให้สิ่งที่เสี่ยงกว่าแต่มีผลตอบแทนเท่านั้น

Risk Averse คือคนที่เข้าใจความเสี่ยงรับความเสี่ยงเพราะต้องการผลตอบแทนที่มากกว่า


จะเห็นว่าหากเราเข้าใจว่า Risk ที่เราแบกรับอยู่นั้นเป็นรูปแบบใดแล้วมีผลตอบแทนเป็นเท่าไหรืน่าพึงพอใจแค่ไหน และจำแนกแยกแยะความเสียงนั้นๆ ว่าคุ้มค่าไหมที่จะเข้าไปรับ จะทำให้เราสามารถจัดกลุ่มพฤติกรรมได้ ดังที่เสนอในแผนภาพซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ความเสี่ยง เพราะบุคคลที่ไม่ได้มองถึงความเสี่ยงนี้และไม่ได้จัดกลุ่มตัวเอง อาจะกำลังอยู่ใน risk seeking ที่เอาตัวเองไปเสี่ยงทั้งๆที่ได้ผลประโยชน์ไม่คุ้มเสียก็เป็นได้ เช่น ในปีก่อนที่คนนิยมลงทุนในพันธบัตรเกาหลี ให้ผลตอบแทน 2.5% มากกว่าพัธบัตรรัฐบาลไทย 1.5% ถามว่าหากผู้ลงทุนกลุ่มนั้นลองพิจรณาถึงความเสี่ยงดูพวกเขาอาจจะไม่ลงทุนก็เป็นได้ เพราะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 1.5% แต่ถ้าเงินบาทอ่อนลง 2 – 3% ละก็เท่ากับว่าพวกเขาขาดทุนไปแล้ว ซึ่งผมมองว่า Risk Premium 1.5% แลกกับอัตราแลกเปลี่ยนนี้มันน้อยมากเกินไปที่เราควรจะเข้าไปแบกรับ


3. Risk Mornitor and Control
การความคุมดูแลความเสี่ยงปกติแล้วผู้บริหารจะทำตาม 3 วิธีได้แก่

1) Risk Avoidance คือการที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยง เช่น เรารู้แล้วว่าการลงทุนในหุ้น Resource จะให้ผลตอบแทนสูงแต่ผลตอบแทนจะมีค่า SD สูงเช่นกัน นักลงทุนบ้างคนอาจจะหลีกเลี่ยงโดยการนำเงินไปลงทุนในหุ้น Food ที่มีความเสถียรมากกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนั้นๆ การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนั้นเป็นการจัดการความเสี่ยง “ก่อน” ที่ความเสี่ยงจะเข้ามาปะทะกับตัวเองซึ่งทำให้ไม่เกิดความเสียหายใดๆ

2) Risk Transfer ความเสี่ยงสามารถจะถ่ายโอนได้ ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายเป็น Risk Premium อยู่บ้างโดยจะเหมาะสำหรับความเสี่ยงทีมีโอกาศเกิดขึ้นน้อยแต่หากเกิดแล้วส่งผลกระทบอย่างรุนแรง การ Tranfer Risk มีเครื่องมือหลักๆ 3 รูปแบบคือ

I. Insurance หมายถึงการถ่ายโอนความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับบริษัทประกันแลกกับการจ่ายเบี้ยประกันให้กับบริษัท
II. Hedging การป้องกับความเสี่ยงโดยใช้เครื่องมือทางการเงินช่วย เช่น การลงทุนแบบ 2 ขาโดยใช้ Swap กับ Future เป็นต้น สองวิธีการข้างต้นเป็นการป้องกันความเสียหาย “หลัง” จากที่ความเสียหายนั้นเกิดขึ้นแล้ว
III. Diversification การกระจายความเสี่ยง หรือการ อย่าใส่ไข่ไว้ในตระกร้าใบเดี่ยวกัน เป็นการป้องกันความเสี่ยงที่สามารเกิดขึ้นโดยกระจายสินทรัพย์ออกไปลงในส่วนต่างๆที่แตกต่างกัน

3) Risk Control คือการที่ผู้บริหารติดตามความเสี่ยงและเหตการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงนั้นๆอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันสถาณการณ์ที่ไม่คาดคิด