เมื่อคุณลงทุนในเรื่องใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจหรือการลงทุนทางการเงิน สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้คือการเข้าไปมีส่วนร่วมในสิ่งที่เรียกว่า “ ความเสี่ยง” ซึ่งความเสี่ยงที่ว่านี้ก็ประกอบไปด้วยหลากหลายปัจจัยสุดแท้แต่ ผู้ประกอบการหรือผู้ลงทุนจะวิเคราะห์ออกมาได้ ผมจึงลองพิจารณาตำราเรื่องการบริหารความเสี่ยงเพื่อเพิ่มความรู้ในเรื่องนี้และจะเป็นหัวข้อที่เราจะกล่าวถึงในวันนี้ครับ
ความเสี่ยงโดยส่วนตัวแล้วผมหมายถึง ”การที่เราทำในสิ่งที่เราไม่เข้าใจและไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ” เป็นคำกล่าวสั้นๆ ง่ายๆที่สามารถบรรยายถึงความเสี่ยงได้อย่างเข้าใจง่ายที่สุด ในทางการลงทุนนักลงทุนอาาจะมองความเสี่ยงว่าหมายถึงความผันผวนของมูลค่าหลักทรัพย์ที่ลงทุนไป ซึ่งผมเห็นว่าจะคล้ายกับมองค่า standard Deviation ที่เปลี่ยนเทียบความเสี่ยงไปกับความผันผวน ความเสี่ยงนั้น แบ่งได้หลายหลายรูปแบบโดยเราอาจจะแบ่ง ตามหลักเกณท์ใหญ่คือ systematic risk หมายถึงความเสี่ยงของทั้งระบบหรือทั้งตลาดที่สามารถผู้บริหารไม่สามารถควบคุมได้ และ Unsystematic risk หมายถึงความเสี่ยงที่เราสามารถควบคุมได้ นอกจากนี้ในตำราบ้างเล่มยังแบ่งความเสี่ยงออกตามปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในดังเช่น
จากภาพเราจะเห็นได้ว่าความเสี่ยงนั้น สามารถแสดงออกเป็นสองส่วนคือส่วนที่เป็นผลจากปัจจัยภายนอก(External Factor) โดยจะเป็นส่วนของ Systematic Risk ที่จะส่งผลกระทบถึงตลาดทั้งตลาด ไม่ได้แบ่งแยกเป็นรายบริษัทกับผลจากปัจจัยภายใน (Internal Factor) หรือเป็น Unsystematic risk ที่ขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัทที่จะบังคับจัดการและวางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนั้นๆ โดยทั่วไปแล้วความเสี่ยงที่จัดการได้นั้นจะต้องถูกลดและจัดการโดยผู้บริหารเสียก่อนเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากความผิดพลาดในสิ่งที่สามารถจัดเตรียมได้ แล้วถึงลอง Monitor ออกไปว่าความเสี่ยงภายนอกใดที่เราควรจะต้องระวังและปัจจัยภายนอกนั้นๆ ส่งผลกระทบอย่างไรต่อกิจกรรมที่เราทำและเตรียมวิธีป้องกันเอาไว้ก่อน จึงจะเป็นการรับมือความเสี่ยงที่ถูกต้อง
นอกจากนี้แผนภาพยังแสดงให้เราเห็นว่าความเสี่ยงยังสามารถ แยกออกเป็นรูปแบบย่อยๆ ได้ดังนี้คือ
- Market risk หมายถึงความเสี่ยงที่ราคาขายของสินค้าจะมีมูลค่าที่ต่ำกว่าราคาซื้อของสินค้า
- Liquidity risk มีคำกล่าวว่าระหว่างบริษัทที่ขาดทุนและมีกำไรติดลบ กับบริษัทที่ไม่มีเงินสดพอที่จะชำระหนี้ได้ให้เลือกบริษัทที่ขาดทุนจะดีกว่า เพราะทางธุรกิจบริษัที่ไม่มีเงินสดพอที่จะชำระหนี้และไม่สามารถที่จะผ่อนผันได้อีกต่อไป หมายถึงการจบเกมส์ธุรกิจไปแล้ว ดังนั้นการเลือกลงทุนเราควรจะพิจราณาถึงระยะเวลาในการคืนทุนและช่วงเวลาที่เราต้องใช้ในการลงทุนในสินทรัพย์นั้นๆด้วย นอกจากนี้เรายังควรที่จะถือสินทรัพย์ที่มีความสามารถในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว เพื่อสำรองไว้ในยามฉุกเฉิน
- Credit risk หมายถึงการที่บริษัทกู้เงินมามากและไม่สามารถที่จะคืนดอกเบี้ยและเงินต้นได้ทันเวลา เราสามารถดูได้จากค่า D/E ratio ที่จะบ่งบอกถึงความเสี่ยงชนิดนี้
- Strategy risk หมายถึงความเสี่ยงที่กลยุทธ์ที่ว่างไว้นั้นจะไม่สำเร็จผล คือการที่ผู้ประกอบการหรือผู้ลงทุนมีการวางยุทธศาสตร์ที่ผิดนั้นเอง
- Operational risk หมายถึงความเสี่ยงจากการปฎิบัติงาน ที่ผู้ลงมือปฏิบัติงานไม่สามารถทำตามแผนการที่วางไว้ได้อย่างลุล่วง เช่น การที่กองทุนตั้งเป้าหมายว่าจะทำการลงทุนแบบ Conservative แต่กลับไปลงทุนแบบ Aggressive ซึ่งผิดกับแผนการที่วางไว้
จากภาพนี้ผมได้ยกตัวอย่างของปัจจัยที่มีผลกับความเสี่ยงของทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งการที่เราสามารถเข้าใจถึงความเสี่ยงในสิ่งที่ตนเองทำ (Identify Risk) จะเป็นการป้องกันเราจากเหตการณ์เลวร้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหมายถึงการที่เรามีการบริหารความเสี่ยงที่ดีนั้นเอง