5/29/2554
Financial Institution(1)
คุณคิดว่าสถาบันธุรกิจใดที่เก่าแก่และมีอำนาจมากที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน? ผมเดาว่าคุณคงมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ผมเฉลยว่าเป็นสถาบันการเงิน (Financial Institution) นั้นเองครับเพราะ FI เป็นหน่วยธุรกิจสำคัญที่กระตุ้นและส่งเสริมการลงทุน ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศเกิดการพัฒนา ตัวอย่างง่ายๆที่อยากจะยกให้เห็น ดังเช่น บุคคลมีเงินออมเหลือเกินค่าใช้จ่าย ที่จำเป็นประจำเดือนจึงฝากเงินไว้กับธนาคารซึ่งถือเป็นการลงทุนแบบหนึ่ง และธนาคารก็นำเงินจำนวนนี้รวมกันและไปปล่อยกู้เพื่อให้บริษัทนำไปลงทุนต่อเกิดเป็นการเติบโตของ GDP ที่บ่งชี้ถึงการพัฒนาประเทศ ว่ากันง่ายๆก็คือเป็นตัวกลางแปลงทรัพย์สินและเคลื่อนย้ายจากคนที่มีเกินไปยังคนที่ขาดแคลนนั้นเองจากเรื่องนี้จะสามารถเห็นได้ว่า ธนาคารมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเป็นตัวกลางทางการเงิน (Financial Intermediaries: FI) ที่ทำให้การหมุนเวียนของเงินสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
คุณเดาได้ไหมว่าถ้าสักวันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วไม่มีสถาบันทางการเงินหรือผมจะขอเรียกว่าตัวกลางทางการเงิน (Financial Intermediaries: FI) ความยากลำบากจะเกิดกับชีวิตของคุณมากมายขนาดไหน ไม่ว่าจะถอนเงิน เก็บเงินที่ไม่รู้จะไปเก็บกับใคร ไหนจะเป็นเรื่องการทำธุรกรรมทางการเงินหรือการลงทุนอีก ผมขอสรุปว่าหากไม่มี FI จะเกิดเหตุการณ์ดังนี้
Without FI (Bank, Securities Institution)
1) Low level of money flow: การหมุนเวียนของเงินทุนจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญมาก เพราะการแปลงสินทรัพย์และการเปลี่ยนมือจะเกิดได้ลำบากขึ้น
2) Information Cost: หากกล่าวถึงในแง่ของการลงทุน ถ้าไม่มี FI และสมมุติว่าคุณร่ำรวย คุณก็อาจจะทำตัวเป็น FI ปล่อยกู้นอกระบบแทน FI (อย่างที่เห็นกู้นอกระบบทุกวันนี้) ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเสียเงินต้นสูง เพราะคุณจะต้องรับความเสี่ยงทั้งหมดเอง ต้องหาข้อมูลของผู้กูเอง เช่น Credit Information, การจ่ายชำระหนี้ ซึ่งปกติแล้วคุณที่อาจจะปล่อยกู้ให้ลูกค้า น้อยรายก็จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า FI เพราะ FI มี Economic of scale มากกกว่า
3) Less Liquidity: หากคุณมีบ้านแล้วอยากได้เงินไปลงทุนโปรเจ็คในฝันของคุณ วาดฝันของคุณเป็นแผนแล้วเอาบ้านไปแทน Curatorial เปลี่ยนเป็นเงินสดกับ FI มาสานฝันของคุณได้ ถ้าไม่มี FI คุณก็จะต้องขายบ้านคุณที่อาจจะรอนานหลายเดือนหรือปลายปี
4) FI ประเภทหนึ่งเรียกว่า Investment Banking ที่จะช่วยประเมิณคุณภาพความน่าเชื่อถือของบริษัทคุณและระดมทุผ่าน ตลาดหลักทรัพย์หรือตราสารทางการเงินต่างๆ ถ้าไม่มี FI ประเภทนี้คุณจะมีช่องทางระดมทุนจำกัดมากๆ
5) Price risk หมายถึงการที่คุณขายสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำกว่าที่คุณซื้อมาซึ่งหมายถึงคุณขาดทุน เช่นการที่คุณปล่อยกู้แล้วไม่ได้ดอกเบี้ยพร้อมเงินต้นกลับมา FI จะลดความเสี่ยงนี้ให้คุณโดยจะการันตี ดอกเบี้ยให้ (แต่มันก็ถูกเงินเฟ้อกินอยู่ดี)
หน้าที่ของ Financial Intermedien
1. Act as an agent for investor (Broker)
FI เป็นตัวแทนที่นำเงินจากบุคคลผู้มีเงินออมไปปล่อยกู้หรือลงทุนให้กับบริษัทเพื่อขยายธุรกิจโดยมุ่งหวังถึงการได้รับเงินต้นคือพร้อมดอกเบี้ยในอนาคต โดย FI อาจเป็นได้ทั้ง Bank หรือ Insurance Company เป็นต้น โดย FI จะทำให้บุคคลวางใจและฝากเงินกับ FI ฒากขึ้นและลดค่าใช้จ่ายเพื่อพิจารณาผู้กู้น้อยลง
จากภาพจะเห็นว่า บุคคลมีเงินออมฝากเงินและธนาคารที่เป็นตัวกลางนำเงินไปป่อยกู้อีกต่อหนึ่ง โดย FI นำเงินให้ บริษัทโดย แลกเปลี่ยนกับ Debt คือการเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทหรือ Equity ที่ได้ share ของบริษัทมา ซึ่งจัดเป็น Primary Securities ที่ออกโดย firm
บุคคลก็จะได้ Deposit Account หรือ Insurance policy จาก FI ซึ่งก็คือ Secondaries securities เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าได้ให้สิทธิธนาคารในการเป็นตัวแทนปล่อยกู้แทนตอนเอง
Note:
Primary Market: Market of the first issue เช่น เป็นตลาดสำหรับ IPO และยังรวมไปถึงการเพิ่มทุน ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนสิทธิในบริษัทจากเจ้าของบริษัทไปยังสาธารณะชนอีกด้วย โดยใน Primary Market นั้นจะมี Investment Banking ทำให้ที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก
Secondary Market: Market of the securities after first issue or transfer from investor to another เป็นตลาดของหลักทรัพย์สำหรับ หลักทรัพย์ที่ผ่านการซื้อขายครั้งแรกแล้วและมีการเปลี่นมือจากนักลงทุนหนึ่งไปถึงอื่นคนหนึ่ง โดย Secondary Market จะดำเนินการผ่าน Securities Broker เพื่อซื้อขาย แลกเปลี่ยนหลักทรัพย์กันได้
2. Asset Transformer
ในที่นี้สามารถเรียกได้ว่า FI เป็นผู้เปลี่ยนแปลง Asset โดยเปลี่ยนจาก Secondary Securities เป็น Primary Securities เพื่อการลงทุนและดอกเบี้นหรือ กำไรของ FI เอง
ทำไม FI ถึงมีค่าการบริหารที่ถูกกว่าการที่เราปล่อยกู้กับผู้กู้เอง?
1. Agent cost and delegate monitor: เรื่องนี้จะพูดเกี่ยวกับ Agent Problem เช่น Conflict ระหว่าง ผู้ปล่อยกู้ (principle) และผู้กู้ (Agent) ที่ผู้กู้ควรนำเงินไปลงทุนเพื่อจ่ายเงินคืน ผู้ให้กู้พร้อมกับดอกเบี้ยแต่ เขาอาจจะไม่ทำเช่นนั้นเพราะ เขาอาจจะไม่จ่ายและนำเงินไปทำอย่างอื่นที่ ตอบสนองต่อผลประโยชน์ของตนเอง ดังนั้น การที่เราปล่อยกู้เองก็จะมี Agent Cost คือต้นทุนที่เกิดจากการตั้งระบบหรือความพยายามที่จะป้องกันเรื่องนี้ไม่ให้เกิดขึ้น ซึ่งธนาคารจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าเพราะ FI มีการประหยัดต่อขนาดมากกว่า การหาข้อมูลต่างๆที่จะพิสูจณ์ถึงความมั่นคงของผู้กู้ เช่น Credit Burocracy จะมีต้นทุนต่ำกว่าเราซื้อข้อมูลนั้นเอง
2. Cost of Credit Monitor: FI จะทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบ ผู้กู้ว่าควรจะปล่อยกู้ให้ผู้กู้รายนี้หรือไม่และปล่อยในอัตราเท่าไหร่ ควรมีหรือไม่มีหลักประกันอย่างไร รวมไปถึงการบริหารเงินกู้ว่าจะปล่อยสั้นหรือยาว โดยปรกตินั้นการปล่อยระยะสั้นจะสามารถควบคุมได้ง่ายกว่ากรปล่อยยาว ที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ ซึ่ง FI ที่ปล่อยเงินให้กับคนมากมาย
นอกจากที่กล่าวมา FI ยังมีบริการอื่นๆ อีกได้แก่
Maturity Intermediation: FI นำเงินฝากระยะยาวจากผู้ฝากมาปล่อยกู้ระยะสั้นเพื่อกินส่วนต่าง
Credit allocation: เป็นการปล่อยกู้ในภาคส่วนเฉพาะเจาะจงเช่น SME
Intergeneration Transfer: บริการโอนถ่านสินทรัพย์ระหว่างรุ่นสู่รุ่น เช่น ประกันที่จะโอนความมั่งคังจากเราไปยังลูกได้หากว่าเราเสียชีวิต
Denomination Intermediation: การทำให้กองทุนหรือหุ้นขนาดใหญ่ เล็กลงเพื่อให้นักลงทุนทั่วไปสามารถลงทุนได้ เช่น พวกกองทุนรวมเป็นต้น
กฏหมายสำหรับ FI
- Treat everyone as same standard
- Ensure soundness of the system as a whole
- ห้ามให้ผู้กู้ กู้มากกว่า 10% ของ Equity เพื่อกระจายความเสี่ยง
- Guaranty fund ประกันเงินฝากโดยมักจะทำโดยธนาคารกลาง
- ให้ผลิตภัณท์ทางการเงินพิเศษแก่ผู้ประสบภัย
อย่างไรก็ตามการ FI เองก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลาตามวงจรของธุรกิจ เช่น การที่ Depository FI หรือ FI ที่รับฝากเงินจากบุคคลทั่วไปจะค่อยๆลดความสำคัญมากขึ้นเพราะ บริษัทปัจจุบันไม่จำเป็นต้องกู้เงินจากธนาคารเท่านั้น บริษัทยังมีช่องทางอื่นๆ สามารถระดมทุนได้และมีต้นทุนต่ำกว่าและยุ่งยากน้อยกว่า นอกจากนี้บุคคลผู้มีเงินเก็บมีแนวโน้มที่จะนำเงินมาลงทุนหรือเก็บในกองทุนเพื่อการเกษียรมากขึ้น จากบทความนี้คุณคงเข้าใจถึงความสำคัญหน้าที่และข้อมูลของ FI มากขึ้นแล้วใช่ไหมครับ