กระบวนการทำ seo หรือ search engine optimization นี้ มีผู้เข้าใจผิดอยู่มากมาย ถึงขั้นมองเห็นแบบตรงข้ามกับที่เหล่านักทำ seo ทำกันเลยทีเดียว เราลองมาดูกันบ้างว่าความเข้าใจผิดต่อการทำ seo ที่ผู้ที่ไม่รู้หรือแม้แต่ผู้ที่รู้ ก็ยังเข้าใจผิดอยู่ตลอด
1. ความเชื่อที่ผิดคือ seo คือการทำทุกอย่างเพื่อให้ได้แบคลิงค์ แม้ว่า แบคลิงค์จะมีคุณค่า แต่การทำทุกอย่างเพื่อให้ได้แบคลิงค์ ไม่ว่าจะเป็นการสแปม หรือโพสในเว็บที่ไม่เกี่ยวข้อง สิ่งที่ทำให้วงการ seo เป็นที่ติเตียนของนักท่องเว็บ หรือนักทำเว็บ ก็คือการสแปมไปทั่ว ยกตัวอย่างเช่นการโพสในเว็บบอร์ดในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง ปั๊มกระทู้ สแปมคอมเมนท์ หรือแม้กระทั่วเว็บ social network ก็ตกเป็นเป้าของนักสแปม จนกระทั่งมีคำกล่าวที่น่าตกใจจากนักทำเว็บโฮสติ้งว่า ‘seo คือการสแปม’ ทั้งๆที่ที่จริงแล้ว แบคลิงค์ที่เราควรจะได้คือแบคลิงค์แบบธรรมชาติ ในเว็บที่เกี่ยวข้องต่างหาก นอกจากการสแปมแล้ว สิ่งที่เป็น controversy หรือข้อโต้แย้งที่ใหญ่ที่สุดของกระบวนการการได้มาของลิงค์คือ การซื้อขายลิงค์ ทั้งทางตรง หรือทางอ้อม ซึ่งถ้ามองในแง่ความจริง การซื้อขายลิงค์ก็ถือเป็นกลไกธรรมชาติอย่างหนึ่ง ในระบบทุนนิยม แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่มากไปจนผิดธรรมชาติ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการบิดเบือนธรรมชาติของการค้นหาโดย search engine เช่นกัน อย่าลืมว่า search engine ถือว่าหน้าเว็บค้นหาของเขาคือหน้าบ้าน ถ้าหากมีการเบี่ยงเบนจากเว็บที่มีเงิน แต่ไม่มีคุณภาพ มาหน้าแรกมากๆ ย่อมส่งผลเสียต่อความนิยมของ search engine อย่างไม่ต้องสงสัย ดังที่ Matts Cutts วิศวกรของ google เคยเปรยเอาไว้ว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องควบคุมการซื้อขายลิงค์ และเปิดรับแจ้งเรื่องไปยัง google อย่างเป็นระบบ
2. ความเชื่อที่ว่าเว็บที่ติดอันดับดี จาก seo ย่อมจะดีมีคุณค่ากว่า อันนี้เห็นๆกันจากข้อแรกว่า เมื่อมีการปรับแต่งอย่างเต็มที่ เว็บที่ธรรมดา หรือคุณภาพด้อย ก็อาจเข้ามาอยู่ในหน้าแรกๆได้เช่นกัน ถ้ามีเงิน มีเครือข่าย อันนี้ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทาย search engine อยู่ตลอดมาว่าจะทำอย่างไรจึงจะกรองเอาเนื้อหาที่คนใช้ต้องการ อย่างแท้จริง มาอยู่หน้าแรก จะเห็นได้ว่าทรัพยากรจำนวนมากของ search engine มากองอยู่ที่การปรับเปลี่ยน algorithm เพื่อกรองเอาเว็บคุณภาพด้อยเหล่านั้นออกไป
3. ความเชื่อที่ว่า seo คือการสร้างเว็บ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดจะขาดไปเสียมิได้ จริงอยู่ที่ว่าปัจจุบันเว็บดีๆถึงดีมาก แต่ไร้ซึ่งการปรับแต่งแบบ seo ก็เปรียบเสมือนเพชรที่อยู่ในทะเลลึกยากจะมีคนเข้าหา การทำเว็บแบบสมัยใหม่ อาศัยปากต่อปาก การจะเกิดมาในโลกออนไลน์ค่อนข้างยาก ยกเว้นว่าจับกลุ่มได้ถูกต้อง นักทำเว็บไซต์รุ่นใหม่จึงหันมาสร้างความโดดเด่นทางด้าน seo การทำเว็บให้ดี สำคัญกว่าการปรับแต่ง seo ซึ่งอาจใช้เงินจำนวนมาก อย่าละเลยพื้นฐานของเว็บไซต์ที่ดี นั่นคือ เนื้อหา หน้าตาของเว็บ ความถูกต้อง ระบบบนำทางที่ดี การดีไซน์ที่ดีหรือมีเอกลักษณ์ และเนื้อหาที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ที่สำคัญคือการสร้าง seo ไม่สามารถสร้าง brand ได้ จะเห็นว่า brand ดังๆ ไม่ได้เกิดมาจาก seo หรือไม่ได้สนใจเรื่องของ seo เลยด้วยซ้ำ แต่ผู้คนจะกล่าวถึงความประทับใจในจุดอื่นๆของเว็บไซต์
4. การปรับแต่ง seo ต้องทำอยู่ตลอดเวลาห้ามหยุด อันนี้ก็เป็นความเข้าใจผิดเช่นกัน นักทำ seo ที่ดีจะรู้จุดและเวลา จะต้องประมาณตน และคิดเสมอว่า การใส่ปุ๋ยที่มากไป ก็จะมีโทษได้เหมือนกัน การเพิ่มแบคลิงค์อย่างรวดเร็ว การทำ onpage อย่างขมักเขม้นทุกจุด การปรับแต่งทุกวันสำหรับ keyword density หรืออื่นๆ เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงถ้าไม่รู้จักการประมาณเวลา หรือ timing ว่า search engine มี time cycle ในการ เข้าถึงเว็บเราถี่เพียงใด มีการปรับปรุงดาต้าเบสและผลการค้นหาถี่บ่อยแค่ไหน มันจะยิ่งยุ่งยากถ้าเราคำนวนถึงจุดที่ว่า search engine มาเก็บหน้าแบคลิงค์ที่มีเว็บเราด้วยในอัตราเท่าไร ดังนั้น การทำ seo ที่ดี เหมือนการขับขี่รถที่ต้องมีการกดคนเร่ง ปล่อยคันเร่ง แตะเบรค ชลอ เพื่อดูว่า สิ่งที่เราปรับจูนนั้นๆ มันถึงจุดที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหรือยัง หรือว่าทำมากเกินไป
5. ปรับแต่งเต็มที่แล้วมักจะได้ผลเสมอ อันนี้เป็นสิ่งที่นักทำ seo ทราบกันดีว่า การปรับแต่งแม้แต่เหมือนกัน 100% ก็ไม่เสมอไปที่จะทำให้อันดับใกล้เคียงกัน 100% อันนี้เป็นสิ่งที่เรียกกันเล่นๆว่า แล้วแต่คนกด หมายถึงว่า ในบางขณะ search engine ก็มีการเข้ามา manipulate โดยคน (อันนี้อาจไม่ใช่จากคนกดปุ่ม แต่อาจหมายถึงปุ่มบุคมาร์คหรือปุ่มโหวตบนโปรแกรมฝังตัวที่ google เก็บข้อมูลจาก users ทุกคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์) สิ่งนี้สะท้อนกลับมาถึงข้อจำกัดหลายๆอย่าง อย่างแรกคือการทำ seo บางทีไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว อย่างที่สองคือ สูตรที่มีผู้คิดนั้น เปลี่ยนไปมาตลอดเวลา
6. อย่าเชื่อผู้อื่นมากเกินไป ในการทำ seo นั้น ทักษะ เกิดจากการปฏิบัติด้วยตนเอง การเชื่อคำกล่าวอ้าง หรือแม้ตำราโดยไม่ลองทำเอง อาจไม่ได้ผลตามที่กล่าวอ้าง บางครั้ง ปัจจัยต่างๆ ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ระบบการทำ link wheel ที่อ้างกันว่าเป็นระบบที่ดี ในบางครั้งกลับกลายเป็นฆ่าตัวเองเพราะ link wheel เหล่านั้นมาจากโฮสต์ IP และผู้ทำเว็บชุดเดียวกัน กลับกลายเป็น wheel ซ้อน และเป็นลิงค์ย้อนกลับหรือ ลิงค์แบบสามเหลี่ยม ไร้ประโยชน์เลยก็ได้ หรือแม้กระทั่งข่าวที่ีการเปลี่ยน algo ทั้งหลายทั้งปวง อาจไม่มีผลต่อสิ่งที่เราทำมาเลยก็ได้
7. seo เป็นเรื่องที่ยาก ต้องจ้างคนทำ อันนี้ผิด ที่จริงแล้ว แค่เพียงเข้ามาอ่านหาความรู้ ไม่กี่สัปดาห์ ก็สามารถเข้าใจได้เกือบ 80% เนื่องจากตำราอ้างอิงเป็นจำนวนมาก (และล้วนเอามาจากที่เดียวกันด้วย) สิ่งที่เรารู้คือ know how เท่าๆกัน แตกต่างกันที่การลงมือทำเท่านั้นเอง ผมเชื่อว่า ถ้าลงมือทำ เราทำกันได้ทุกคน จะมากหรือน้อยก็ว่ากันไป และสิ่งที่เราทำจะเพิ่มพูนทักษะอยู่ตลอด แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เราจะเริ่มคิดเองว่า การทำ seo นั้น แท้จริงคือการตกแต่งกล่องขนมให้น่ากินเท่านั้นเอง แต่รสชาตขนมนั้นคืออีกเรื่อง !
8. ทำ seoให้ดี ต้องมีเงินเท่านั้น อันนี้ผิดมหันต์ทั้งผู้ทำ และผู้จ้าง ขอเพียงเวลา จิตใจที่มุ่งมั่น หลักการที่ดี ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมาย ถ้าปรับแต่งถูกจุด ตอบสนองคำถามที่ว่า – ทำอย่างไรเว็บจะเหมาะกับการเข้ามาอยู่ในหน้าแรกได้ – การปรับแต่งแบบที่ไม่ต้องใช้เงิน เป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่มีผู้ศึกษาและปฏิบัติ ขอเพียงค้นหา และเข้าถึง เราก็สามารถทำได้
9. seo ง่ายๆ ใครก็ทำได้ ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดเช่นกัน โดยเฉพาะน้องใหม่ไฟแรง แต่โหมไฟแรงเกินไปย่อมได้รับประสบการณ์เจ็บปวดไปตามๆกัน มันจะมี timing อันหนึ่งที่ทดสอบมือใหม่ ซึ่งถ้าผ่านไปได้ก็จะสามารถทำ seo ให้ดีได้เฉกเช่นเดียวกับมือเก่า seo นั้นง่ายพอๆกับการเปิด windows และยากพอๆกับการหาจุดบกพร่องใน windows ดังนั้น การเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาหาจุดบกพร่อง และลงมือแก้ไข คือสิ่งที่ seo มือใหม่ต้องกระทำ
10. นักทำ seo มักจะร่ำรวยและมีความเต็มใจในการทำ seo ไม่ว่าโจทย์จะเป็นอย่างไร ถ้าจ่ายถึง ลองหาคำตอบจากตัวคุณเองและผู้อยู่รอบข้างดูครับว่าจริงทุกคนไหม วลีอมตะอยู่อันหนึ่งคือ ถ้า big daddy ไม่รักทำให้ตายก็ไม่ติด กับอีกอันหนึ่งคือ ถ้าคุณร่ำรวยจากการทำ seo ได้ จะไม่ง่ายกว่าหรือถ้าจะปรับแต่ง seo เพื่อหาความร่ำรวยจากเว็บของตัวเอง
http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,130993.0.html
7/29/2554
7/14/2554
วิเคราะห์งบการเงิน
ที่ผ่านมามีหลายท่านอยากให้ผมเขียนหนังสือเกี่ยวกับการ วิเคราะห์งบการเงินบ้าง เพราะหาหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่อ่านง่ายๆไม่ได้เลย แต่ผมเองนั้นมิใช่นักบัญชี ความรู้บัญชีที่มีอยู่ก็เป็นเพียงแค่ความรู้ที่สะสมมาเพื่อใช้เอาตัวรอดใน ตลาดหุ้นเท่านั้น หลายปีผ่านไป ก็ยังมีคนถามเรื่องนี้อยู่ ไม่ทราบจะทำอย่างไรเหมือนกัน เอาเป็นว่าผมจะใช้บล็อกเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้สักพักก็แล้วกัน เป็นแค่การเล่าให้ฟังว่าตัวผมเองดูอะไรในงบการเงินบ้างเวลาลงทุน
.
เรื่องงบการเงินนั้น ผมยอมรับว่า ผมเองไม่ได้ให้น้ำหนักมากนัก เพราะผมตัดสินใจลงทุนจากเหตุผลเชิงคุณภาพเป็นหลัก (ธุรกิจมีอนาคตที่สดใส บริษัทมีกลยุทธ์การเติบโตที่ดี บริษัทมีข้อได้เปรียบที่ชัดเจน ฯลฯ) ผมจะใช้งบการเงินเป็นแค่การตรวจสอบอีกชั้นหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่า ตัวเลขต่างๆสอดคล้องกับสิ่งที่เราคิดหรือไม่ และใช้ดูว่าบริษัทยังมีอะไรอย่างอื่นที่เราต้องกังวลอีกหรือเปล่า ผมถือว่า ผมเน้นลงทุนแต่ในบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือระดับหนึ่งแล้วเท่านั้น และอาศัยการกระจายการลงทุน แทนการวิเคราะห์งบการเงินแบบเจาะลึก นักลงทุนบางคนอาจใช้งบการเงินเป็นเครื่องมือหลักในการเลือกหุ้น เช่น คนที่ลงทุนในแนว Asset Play แต่ผมก็ไม่เคยลงทุนในแนวนั้นเลย ผมคิดว่าผมคงไม่ได้รู้บัญชีลึกซึ้งมากขนาดที่จะขุดพบสิ่งที่ซ่อนอยู่ในงบการ เงินที่คนทั่วไปมองไม่เห็นออกมาได้ งบการเงินเป็นสิ่งที่บอกอดีตและปัจจุบันของบริษัทได้ดี แต่บอกอนาคตได้น้อย ผมจึงให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์เชิงคุณภาพมากกว่า
.
สาระสำคัญของงบการเงินของบริษัทมหาชนนั้นอยู่ ในงบสามตัวใหญ่ ได้แก่ งบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด ส่วนหมายเหตุประกอบงบการเงิน และงบแสดงส่วนเปลี่ยนแปลงของผู้ถือหุ้นนั้น เป็นส่วนของรายละเอียดเพิ่มเติม ถ้าจะให้ดีเวลาอ่านงบการเงินควรพลิกไปอ่านความเห็นของผู้สอบบัญชีด้วยสักนิด งบการเงินที่ดีควรเป็นงบที่ผู้สอบบัญชีแสดงความเห็นแบบไม่มีเงื่อนไข ถ้าหากผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็น หรือแสดงความเห็นอย่างมีเงิ่อนไข มักทำให้ผมไม่ค่อยอยากอ่านงบการเงินของบริษัทนั้นต่อแล้ว เพราะไม่รู้ว่า สิ่งที่แสดงอยู่ในงบการเงินนั้นจะเชื่อถือได้มากแค่ไหน และพาลให้อยากเลิกคิดลงทุนในบริษัทนั้นไปด้วยเลย เพราะไม่รู้ว่าเราจะเสี่ยงลงทุนกับบริษัทที่ไม่สามารถแสดงงบการเงินในแบบที่ เรียบร้อยตามหลักบัญชีให้นักลงทุนดูได้ไปทำไม ในเมื่อเรายังมีตัวเลือกอื่นดีๆอีกมากมายในตลาด
.
และเช่นเดียวกัน การเป็นนักลงทุนนั้น ที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องเก่งบัญชีมากๆ แต่ควรเข้าใจภาพใหญ่ๆของการดูงบการเงิน เวลาที่เจองบการเงินของบริษัทที่ซ้บซ้อนมากๆ มีรายการพิเศษเยอะๆ แทนที่เราจะต้องพยายามแกะให้ได้ เราสามารถเปลี่ยนไปลงทุนในบริษัทอื่นที่มีงบการเงินที่เข้าใจได้ง่ายกว่าแทน ก็ได้ มีให้เลือกอีกเยอะแยะในตลาด วอ เรน บัฟเฟต กล่าวว่า บริษัทที่เขียนงบการเงินให้คนอ่านเข้าใจยากๆ เหมือนไม่อยากให้คนเข้าใจนั้น แสดงว่าอาจมีอะไรบางอย่างที่ไม่ดีที่เขาจะต้องแอบซ่อนเอาไว้ ถ้าธุรกิจดีจริงๆ เขามักจะอยากโชว์
.
แนวคิดอย่างแรกที่อยากให้นักลงทุนมองเวลาที่เริ่มต้นอ่านงบการเงินคือ งบดุลเป็นบัญชีที่แสดง “ฐานะการเงินของบริษัท” ณ วันสิ้นงวด พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ สมมติว่าหยุดกิจกรรมทุกอย่างไว้ชั่วคราว ณ วันสิ้นงวด แล้วลองนับดูว่าบริษัทมีสมบัติอะไรติดตัวบ้าง มีหนี้เท่าไร (เอาสินทรัพย์หักหนี้สินจะเหลือเป็นส่วนที่เป็นของบริษัทจริงๆ) ส่วนงบกำไรขาดทุนนั้นคือบัญชีที่แสดง ผลงานของบริษัท “ตลอด” งวดบัญชีนั้น กล่าวคือ ตลอดช่วงเวลาของรอบบัญชีนั้น บริษัททำรายได้ไปได้เท่าไร หักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือกำไรเท่าไร (รายได้หักค่าใช้จ่ายเท่ากับกำไร) งบดุลจึงเป็นเหมือนภาพนิ่งเมื่อวันจบงวด ส่วนงบกำไรขาดทุนนั้นเป็นผลงานรวมตลอดระยะเวลาทั้งหมดเฉพาะในรอบบัญชีนั้น
.
ส่วนงบกระแสเงินสดนั้น เป็นบัญชีที่แสดงการไหลเข้าออกของเงินสดระหว่างรอบบัญชีนั้น นักบัญชีบังคับให้บริษัทมหาชนต้องแสดงการไหลเข้าออกของเงินสดด้วยเพื่อ “กันเหนียว” กล่าวคือ เวลาคิดกำไรขาดทุนตามหลักบัญชีนั้นอาจมีช่องว่างบางอย่างที่ทำให้บริษัทฉายภาพว่าธุรกิจไปได้ดี ทั้งที่จริงๆแล้วมีปัญหา การบังคับให้ต้องแสดงงบกระแสเงินสดด้วยนั้น จะช่วยทำให้บริษัทหาช่องว่างได้ยากขึ้น บางคนบอกว่างบกระแสเงินสดสำคัญ งบกำไรขาดทุนไม่สำคัญ บางคนบอกว่างบกำไรขาดทุนสำคัญ งบกระแสเงินสดไม่สำคัญ แต่ที่จริงแล้ว เวลาดูงบการเงินควรดูทั้งสามงบประกอบกันว่าสอดคล้องกันหรือไม่ถึงจะชัวร์ สรุปก็คือสำคัญทั้งสามงบ
.
นอกจากนี้ ในแต่ละงบยังแยกออกเป็นสองชุดคือ งบการเงินเฉพาะบริษัท และงบการเงินรวม ด้วย เพราะบริษัทหนึ่งๆ อาจประกอบด้วยบริษัทร่วมและบริษัทย่อยหลายบริษัท เช่น พวกโฮลดิ้งคอมปะนี งบการเงินรวมคืองบที่รวมงบการเงินของบริษัทร่วมและบริษัทย่อยเข้าด้วยกันให้ เหมือนเป็นบริษัทเดียวกัน จะได้เห็นสถานะการเงินทั้งหมดของบริษัท มีคำถามเสมอว่า เราควรดูงบการเงินเฉพาะของบริษัทหรืองบการเงินรวมดี บ่อยครั้งที่บริษัทมหาชนต้องการให้แต่ละหน่วยธุรกิจบริหารจัดการตัวอย่างแบบ เป็นเอกเทศ จึงทำให้ต้องมีโครงสร้างเป็นบริษัทร่วมและบริษัทย่อย แต่ ในมุมของผู้ถือหุ้นแล้ว ไม่ว่าจะซอยยังไงก็เป็นสมบัติของผู้ถือหุ้นเหมือนกัน การที่ต้องจัดทำงบการเงินรวมก็เป็นวิธีการทางบัญชีที่จะช่วยทำให้กลุ่ม ธุรกิจดูเหมือนเป็นก้อนเดียวกัน โดยปกติแล้ว ผมจึงดูแต่งบการเงินรวมเป็นหลัก มีบางกรณีเหมือนกันที่เราควรจะดูงบการเงินเฉพาะของบริษัทมากกว่างบการเงินรวม แต่เป็นกรณีที่น้อยมากครับ ไม่อยากขยายความให้ชวนปวดหัว
.
เอาแค่นี้ก่อนนะครับสำหรับการ overview เอาไว้ตอนหน้าจะมาลงรายละเอียดทีละงบว่า เราควรดูอะไรในงบเหล่านั้นบ้าง
.
Friday, 29 October 2010
.
งบการเงินสำหรับนักลงทุน (1/5) : overview
.
นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์
####
.
งบการเงินสำหรับนักลงทุน (2/5) : งบกำไรขาดทุน
.
Friday, 5 November 2010
.
ในฐานะ growth investor ถ้าผมเปิดงบกำไรขาดทุนขึ้นมาดู สิ่งแรกที่ผมมักจะดูก่อนเสมอคือการเติบโตของรายได้ครับ บริษัทที่ปกติดีควรมีรายได้เพิ่มขึ้นเสมอเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จะเพิ่มมากหรือน้อยก็แล้วแต่ แต่ไม่ควรจะลดลงอย่างยิ่ง ที่ต้องเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แทนที่จะเทียบกับงวดที่แล้ว ก็เพราะธุรกิจมักมีเรื่องของฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงควรเทียบผลงานในช่วงเดียวกันของทุกปี และผมมักจะสนใจเฉพาะการเติบโตของรายได้ที่มาจากธุรกิจหลัก ไม่ใช่รายได้รวม เพราะรายได้อื่นๆ เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและมักไม่ใช่แก่นของธุรกิจของบริษัท จึงไม่ควรนำมาเกี่ยวข้องเวลาประเมินสภาวะของกิจการ
.
ที่จริงผมให้ความสำคัญกับการเติบโตของรายได้หลักมากกว่ากำไรเสียอีก เพราะการทำธุรกิจนั้นกำไรย่อมต้องมีความผันผวนบ้างเป็นเรื่องธรรมดาของการทำ ธุรกิจที่ต้องมีความไม่แน่นอน บริษัทที่กำไรเพิ่มขึ้นได้อย่างสม่ำเสมอเป็นเส้นตรง คงมีแต่บริษัทที่แต่งบัญชีเองเท่านั้น ดังนั้น ถ้ากำไรของบริษัทลดลงบ้างในบางช่วง ผมไม่ถือว่าคอขาดบาดตาย และไม่มีความจำเป็นต้องรีบขายหุ้นหนี ซึ่งจะต่างกับคนที่เล่นหุ้นระยะสั้นด้วยวิธีการเก็ง EPS เป็นรายไตรมาส กลุ่มนี้ถ้าเขารู้ว่า EPS ไตรมาสหน้ากำลังจะลดลง ปกติเขาจะรีบหนีทันที แต่สำหรับผม ถ้ารายได้ยังเติบโตได้อยู่ สุดท้ายแล้วกำไรก็จะกลับมาสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้อีก
.
แต่ถ้าหากรายได้ลดลงนั้น น่าเป็นห่วงมากกว่า เพราะปกติแล้วถ้าธุรกิจแย่ลงชั่วคราว บริษัทมักเลือกที่จะรักษารายได้เอาไว้ แล้วยอมลดกำไรลง มากกว่าที่จะปล่อยให้รายได้ลดลง เพราะถ้าโวลู่มขายลดลง ต้นทุนต่อหน่วยมักจะเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทแข่งขันไม่ได้ด้วย รักษาโวลุ่มไว้ก่อนดีกว่า ดังนั้น ถ้าหากรายได้ถึงขั้นลดลง แสดงว่าปัญหาของบริษัทน่าจะไม่ธรรมดา ธุรกิจอาจจะกำลังหมดยุค หรือบริษัทกำลังเสียความสามารถในการแข่งขันไปอย่างถาวร
.
เว้นแต่พวกที่ขายสินค้าคอมโมฯ ที่ราคาตลาดผันผวนสูงๆ เช่น ถ่านหิน โรงกลั่น ฯลฯ พวกนี้บางทีราคาตลาดผันผวนแรงมากๆ ก็อาจทำให้รายได้ลดลงได้โดยที่ปริมาณการขายไม่ได้ลด ดังนั้น ถ้าหากบริษัทเหล่านี้มีรายได้ลดลง ควรรีบตรวจสอบดูว่า ปริมาณการขายลดลงด้วยหรือไม่
.
ถัดจากการเติบโตของรายได้ ผมจะตรวจสอบดูว่า Gross Margin ของบริษัทเปลี่ยนไปอย่างไร Gross Margin ก็คือ (รายได้-ต้นทุนขาย) หารด้วย รายได้ หรืออาจจะตรวจดูว่าต้นทุนขายเพิ่มขึ้นมากกว่าหรือน้อยกว่ารายได้ที่เพิ่ม ขึ้นก็ได้ (ความหมายจะเหมือนกัน) ถ้า Gross Margin ไม่ต่ำลง แสดงว่า ไม่มีอะไรผิดปกติ ถ้าหากต่ำลง แสดงว่า ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น หรือมิฉะนั้น อาจเกิดจากบริษัทยอม dump ราคาลงมา เพื่อดึงยอดขายเอาไว้ ก็ได้
.
นอกจากนี้ ถ้าอยู่ดีๆ Gross Margin ของบริษัทเพิ่มขึ้น อาจเป็นสัญญาณที่แสดงว่าพื้นฐานของบริษัทกำลังจะดีขึ้นได้ด้วย เช่น ตลาดอยู่ในช่วงเติบโตสูง หรือสินค้าใหม่ของบริษัทอาจสร้างความแตกต่างได้มากกว่าเดิมทำให้บริษัทมี market power มากขึ้น สามารถ command pricing ได้มากกว่าเดิม มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ครับว่า หุ้นที่กำลังจะทะยาน Gross Margin มักกระตุ้นขึ้นให้เห็นก่อน
.
ถัดจาก Gross Margin ผมจะดู Operating Margin ซึ่งได้แก่ EBIT หารด้วย รายได้ ครับ ถ้า Operating Margin ดีขึ้น แสดงว่าบริษัทอาจบริหารจัดการได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรืออาจเป็นรายได้สูงขึ้น ทำให้ค่าโสหุ้ยต่อหน่วยลดลง ซึ่งเป็นเรื่องดีทั้งนั้น
.
สังเกตว่าผมจะสนใจ Operating Margin มากกว่า Net Profit Margin เพราะ Net Income นั้นนับรวมภาษีและดอกเบี้ยด้วย ทั้ง สองรายการนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางการเงินของบริษัทและการบริหารภาษี ฉะนั้นจึงไม่ค่อยเกี่ยวกับพื้นฐานของธุรกิจที่เปลี่ยนไปเท่าไร ทำให้เมื่อนำมารวมแล้ว อาจให้ภาพที่บิดเบื่อนเกี่ยวกับพื้นฐานของบริษัทได้ครับ วัดกันแฟร์ๆ เฉพาะรายการที่เกี่ยวกับ operation ไปเลยแมนกว่าครับ
.
อีกเรื่องที่ ต้องระวังคือ เราไม่สามารถสรุปได้ว่าธุรกิจไหนดีด้วยการดูว่า Margin สูงหรือต่ำ เพราะขึ้นอยู่กับ economic ของแต่ละธุรกิจด้วย อย่างธุรกิจค้าปลีกนั้นมี Net Margin แค่ 3% เท่านั้น แต่อาจเป็นธุรกิจที่ดีกว่าธุรกิจผลิตเครื่องสำอางค์ที่มี Net Margin 10% เพราะว่า Turnover มันสูงกว่ากันมาก ในการเปรียบเทียบ Margin ข้ามบริษัทนั้น เราเปรียบเทียบได้แค่กับบริษัทอื่นที่ทำธุรกิจที่เหมือนกันเปี๊ยบ หาก Margin สูงกว่าก็แสดงว่า บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันมากกว่าคู่แข่ง แต่ปกติแล้ว แม้แต่ธุรกิจแบบเดียวกัน ก็ยังไม่เหมือนกันเปี๊ยบเลย อย่างเช่น บริษัทบ้านบางบริษัทเน้นทำบ้านหรู บางบริษัทเน้นทำบ้านตลาดล่าง การที่บริษัทเน้นทำบ้านหรูมี Margin สูงกว่าอาจไม่ได้แปลว่าดีกว่าเสมอไป เพราะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่บ้านหรูควรจะมีมาร์จิ้นสูงกว่าบ้านตลาดล่าง การเปรียบเทียบ Margin ข้ามบริษัทจึงเป็นสิ่งที่ควรระวัง แค่เปรียบเทียบกับตัวเองในอดีตน่าจะดีกว่า
.
####
.
งบการเงินสำหรับนักลงทุน (3/5) : งบดุล
.
Wednesday, 10 November 2010
.
งบดุลคือบัญชีแสดง “ฐานะทางการเงิน” ของบริษัท กล่าวคือ สมมติว่าหยุดกิจกรรมทั้งหมดเอาไว้ชั่วคราว ณ วันปิดบัญชี บริษัทเป็นเจ้าของสินทรัพย์อะไรบ้าง มีหนี้สินอยู่เท่าไร ส่วนต่างระหว่างสินทรัพย์กับหนี้สินทั้งหมดของบริษัทนั้นเรียกว่า ส่วนของเจ้าของ ซึ่งหมายถึงส่วนของสินทรัพย์ที่ผู้ถือหุ้นเป็นเจ้าของจริงๆ ถ้าหากหักหนี้ออกหมดแล้ว ตามสมการ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ
.
ในการตรวจสอบงบดุลตามปกติ ผมมักจะเริ่มต้นด้วยการตรวจดูลูกหนี้การค้าก่อน ลูกหนี้การค้าควรเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนในสัดส่วนที่น้อยกว่าหรือ เท่ากับรายได้ที่โตขึ้น เพราะถ้าเพิ่มขึ้นมากกว่า อาจเป็นสัญญาณที่แสดงว่า บริษัทเร่งยอดขายด้วยการปล่อยเครดิตให้แก่ลูกค้ามากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ ลูกค้าอยากซื้อ ซึ่งเป็นการเร่งยอดขายในระยะสั้น ที่อาจนำมาซึ่งปัญหาหนี้เสียในระยะยาวได้ ถ้าหากเห็นว่าไม่ปกติให้เปิดไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหมายเหตุประกอบงบการ เงินเพื่อดูว่าจำนวนลูกหนี้การค้าแบ่งแยกตามระยะเวลาค้างจ่ายทอดยาวออกไปมาก ขึ้นหรือไม่ มีลูกหนี้การค้าที่สงสัยว่าจะเก็บเงินไม่ได้มากน้อยแค่ไหน ถ้ามี บริษัทได้มี่การตั้งสำรองไว้แล้วเพียงพอหรือไม่ ลูกหนี้การค้าเป็นรายการที่สำคัญมากในธุรกิจประเภทซื้อมาขายไป บ่อยครั้งที่บริษัทเหล่านี้ทำยอดขายให้ดูดีด้วยการผ่อนคลายเรื่องเครดิต แต่สุดท้ายแล้วรายได้ที่เพิ่มขึ้นนั้นตามเก็บเงินไม่ได้ กลายเป็นหนี้เสีย
.
ถัดจากลูกหนี้การค้าก็คือ สินค้าคงคลัง ที่ ควรเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีที่แล้วในสัดส่วนที่น้อยกว่าหรือเท่ากับต้น ทุนขาย (การค้าใหญ่ขึ้นก็ต้องสต๊อกสินค้ามากขึ้นได้แต่ควรจะไม่มากกว่า)
.
การทำบัญชีสินค้าคงคลังนั้น หลักบัญชียอมให้บริษัทเลือกวิธีลงบัญชีได้หลายแบบ (LIFO, LIFO, average cost) เพื่อให้สะท้อนความเป็นจริงได้มากที่สุด แต่ในทางตรงกันข้ามก็เป็นช่องโหว่ที่บริษัทอาจใช้เพื่อบริหารงบให้ดูดีได้ ด้วย ถ้าหากเป็นธุรกิจที่ขายสินค้าที่ราคาเปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น สินค้าไอที หรือราคาเปลี่ยนแปลงช้า แต่สินค้ามักสต็อกไว้นานกว่าจะขายออกไปจนทำให้ราคาทุนต่างกับราคาปัจจุบัน มากๆ อย่างเช่น ที่ดิน วิธีตัดสินค้าคงคลังเวลาเกิดยอดขายที่แตกต่างกันนั้นจะทำให้ต้นทุนขายแตก ต่างกันได้อย่างมาก ยิ่งถ้ามีการปรับเปลี่ยนวิธีระหว่างงวด หรือมี LIFO Liquation ตัวเลขต้นทุนขายในงวดนั้นอาจสื่ออะไรไม่ได้เลย ตัว เลขกำไรของธุรกิจที่ขายสินค้าที่มีราคาต้นทุนเปลี่ยนแปลงได้บ่อยจึงใช้วัด อะไรได้น้อยเหมื่อนกัน การเปรียบเทียบผลงานระหว่างคู่แข่งยิ่งต้องระวังเข้าไปใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าวิธีการตัดจ่ายสินค้าคงคลังของสองบริษัทต่างกันมากแค่ไหน
.
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนของบริษัทที่สำคัญได้แก่ เครื่องจักร อาคารและที่ดิน สินทรัพย์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะลงบัญชีที่ราคาทุนและตัดจ่ายค่าเสื่อมไปเรื่อยๆ ระยะเวลา (ถ้ามี) ซึ่งอาจไม่ได้สื่อความหมายอะไรมากนัก เพราะมูลค่าตลาดที่แท้จริงของสินทรัพย์เหล่านี้มักต่างกับมูลค่าทางบัญชีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นสินทรัพย์ที่ซื้อมานานแล้ว โดยมากแล้วผมไม่ได้สนใจรายการเหล่านี้มากนักครับ
.
ลองตรวจดูว่าบริษัทมีสินทรัพย์อื่นๆอะไรบ้าง กิจการที่ดีไม่ควรจะมีสินทรัพย์อื่นๆมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากไม่ได้แจงไว้ด้วยว่าสินทรัพย์เหล่านั้นคืออะไร เพราะสินทรัพย์อื่นๆ คือบรรทัดที่บริษัทสามารถซุก non-productive assets ทั้งหลายเอาไว้ รวมทั้งพวกรายการสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับบริษัท เช่น เงินกู้กรรมการบริษัท/ผู้ถือหุ้นใหญ่บางคน รายการทำนองนี้ไม่ควรจะมีเลยเพราะอาจบ่งชี้ถึงความไม่โปร่งใส ธรรมภิบาลที่ไม่ดี และการมี conflict of interest ของบริษัทมหาชน อย่างไรก็ตาม ถ้าหากรายการเหล่านี้มีมูลค่าน้อยกว่า 5% ของสินทรัพย์ทั้งหมด ก็พอจะยอมรับได้ แต่ถ้ามากกว่านั้นก็อาจเป็นเรื่องที่เราต้องกังวล
.
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญเวลาดูงบดุลก็คือ การตรวจสอบความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัท เวลามองเรื่องหนี้นั้นเรามักสนใจแค่ว่าบริษัทมีหนี้มากหนี้น้อยเมื่อเทียบกับทุน แต่ที่จริงแล้วเรื่องที่สำคัญกว่านั้นมากคือ เรื่องสภาพคล่อง บริษัทจะมีหนี้มากหรือน้อยแต่ถ้าขาดสภาพคล่องที่จะจ่ายหนี้ในระยะอันใกล้ก็ น่ากลัวเท่ากัน ลองดูว่าบริษัทมีเงินสดมากเท่าไรเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยที่จ่ายอยู่ในแต่ละปี รวมทั้งเงินต้นส่วนที่มีกำหนดจะต้องชำระคืนภายในไม่เกินหนึ่งปีข้างหน้า ซึ่งบริษัทจะต้องแยกไว้ให้เห็นในงบดุล ถ้าหากบริษั่ทมีเงินสดน้อยเมื่อเทียบกับภาระหนี้ในระยะสั้น บริษัทอาจหวังใช้ลูกหนี้การค้าที่กำลังจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินในอนาคตในการ ชำระหนี้ก็ได้ (หมุนเงินเอา) ลองเปรียบเทียบสัดส่วนระหว่างภาระหนี้ในระยะสั้นกับสินทรัพย์หมุนเวียนเหล่า นี้ดูก็แล้วกัน เรื่องพวกนี้เอาไว้ผมจะพูดถึงอีกทีตอนที่พูดถึงเรื่อง ratio analysis ก็แล้วกันครับ
.
สุดท้ายควรเช็คดูในหมายเหตุประกอบงบการเงินว่า บริษัทมีหนี้สินที่อยู่นอกงบดุลอื่นๆ ด้วยหรือไม่ ที่สำคัญได้แก่ ความเสี่ยงที่จะโดนฟ้องร้องในอนาคต สัญญาที่มีภาระผูกผันทางการเงินต่างๆ และพวก lease obligation ทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ที่จริงแล้วถือเป็นส่วนหนึ่งของหนี้สินของบริษัทด้วย แต่ไม่ได้รวมไว้ในงบดุลตามหลักบัญชี ซึ่งเราก็ไม่ควรจะมองข้าม อีก เรื่องหนึ่งที่ผมชอบตรวจดูในหมายเหตุประกอบงบการเงินด้วยคือ บริษัทยังมีวงเงินเหลืออยู่กับสถาบันการเงินอีกเท่าไรที่ยังไม่ได้กู้จริง ตรงนี้ถือว่าเป็น buffer ที่สำคัญอย่างหนึ่งของธุรกิจ บริษัทที่ทำธุรกิจด้วยกู้จนเต็มวงเงินตลอดเวลาย่อมแสดงถือวัฒนธรรมการบริหาร งานที่ค่อนข้าง aggressive เกินไป เวลาเกิด market shock มักกระทบรุนแรง อีกทั้งเวลาเจอโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจก็อาจไม่สามารถ take opportunity ได้ทันท่วงที เพราะไม่มีสภาพคล่องส่วนเกินที่จะนำมาใช้ลงทุนได้ทันทีครับ.
.
####
.
งบการเงินสำหรับนักลงทุน (4/5) : งบกระแสเงินสด
.
Tuesday, 16 November 2010
.
งบกระแสเงินสดเป็นบัญชีที่แสดงการไหลเข้าออกของเงินสดที่เกิดขึ้นสะสมในกิจการระหว่างรอบบัญชีนั้น ในทางบัญชีเราแบ่งกระแสเงินสดออกเป็นสามจำพวกคือ กระแสเงินสดที่เกี่ยวกับการดำเนินงาน กระแสเงินสดที่เกี่ยวกับการลงทุน และกระแสเงินสดด้านการเงิน โดยที่เมื่อนำกระแสเงินสดทั้งสามจำพวกมารวมกัน จะต้องเท่ากับเงินสดที่เปลี่ยนแปลงไปในรอบบัญชีนั้นพอดี เพราะกระแสเงินสดมีแค่สามอย่าง ถ้านำมาบวกกันก็ต้องเท่ากับเงินสดที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในบริษัทระหว่างงวด นั้นนั่นเอง
.
ในงบกระแสเงินสด จะแสดงกระแสเงินสดทั้งสามประเภทให้ดูทีละประเภท ถ้าลองนำกระแสเงินสดทั้งสามประเภทมาบวกกันจะพบว่าต้องเท่ากับผลต่างระหว่าง เงินสดตอนปลายงวดกับต้นงวดที่โชว์อยู่ในงบดุลของบริษัทนั้นพอดีด้วย
.
ในหมวดกระแสเงินสดเกี่ยวกับการดำเนินงานนั้น จะดูแล้วงงๆนิดหน่อย เพราะปกติแล้วการทำบัญชีเพื่อโชว์กระแสเงินสดรับหรือจ่ายของกิจกรรมที่ เกี่ยวกับการดำเนินงานให้ดูเป็นอย่างๆ (เช่น เงินสดรับจ่ายจากลูกค้า เงินสดรับจ่ายจากซัพพลายเออร์) นั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก หลักบัญชีจึงยอมให้บริษัทแสดงกระแสเงินสดเกี่ยวกับการดำเนินงานทางอ้อม (INDIRECT METHOD) โดยเริ่มต้นจากกำไรสุทธิ แล้ว reconcile กลับด้วยรายการที่ไม่เกี่ยวกับเงินสดต่างๆ จนกระทั้งกลายเป็นกระแสเงินสดเกี่ยวกับดำเนินงาน
.
คนที่ไม่ใช่นักบัญชีเวลาอ่านรายการในกระแสเงินสดเกี่ยว กับการดำเนินงานแล้วพยายามจะนึกภาพตาม ว่าจริงๆแล้วแต่ละบรรทัดมันเกิดขึ้นอย่างไรเลยมักจะงง เพราะจริงๆแล้ว รายการพวกนี้เป็นเพียงแค่ item ที่มา reconcile ทางบัญชีให้กำไรสุทธิถอยกลับมาเป็นกระแสเงินสดเท่านั้น สรุป ก็คือ เห็นแล้วก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก เหลือบไปดูบรรทัดสุดท้ายที่เขียนว่า เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน เลยดีกว่า ตัวนี้เป็นเสมือนตัวเลขที่บอกว่า ธุรกิจนี้ผลิตเงินสดไปได้เท่าไรตลอดรอบบัญชีนั้น ซึ่งควรจะเป็นบวก (ถ้าเป็นลบแสดงว่ายิ่งขยันยิ่งขาดทุน) และจะให้ดีควรมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงจากงวดที่แล้วไปในทิศทางเดียวกันกับกำไรสุทธิในงบกำไรขาดทุนของบริษัทด้วย ถ้าหากกำไรวิ่งไปทาง กระแสเงินสดวิ่งไปอีกทาง อาจเป็นไปได้ว่าบริษัทอาจกำลังสร้างภาพอะไรบางอย่างอยู่รึเปล่า
.
บางบริษัทชอบ capitalize ค่าใช้จ่ายต่างๆเอาไว้ในงบดุล แทนที่จะตัดจ่ายออกมาเพื่อทำให้กำไรที่โชว์ออกมาดูสูง (ค่าใช้จ่ายน้อย) เช่น พวกค่าสิทธิ์ต่างๆ ค่าพัฒนาซอฟต์แวร์ ค่าซื้อกิจการ หรือแม้แต่ค่าโฆษณา บริษัทชอบอ้างว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นสินทรัพย์ไม่มีตัวตนเหล่านี้ที่มี future benefit เลยขอตั้งเป็นสินทรัพย์เอาไว้ก่อนแล้วค่อยทยอยตัดจ่ายออกมาทีหลัง เพื่อให้กำไรในระยะสั้นดูดี พอนานๆไป ก็ค่อยตัดด้อยค่าเป็นรายการใหญ่ๆออกมา แล้วบอกว่านักลงทุนไม่ต้องไปสนใจ เพราะเป็นรายการพิเศษเกิดขึ้นครั้งเดียว แต่ทำเช่นนี้อยู่เนื่องๆ ทำให้กำไรในยามปกติดูสูงกว่าที่ควรจะเป็น ถ้าหากเราดูแต่งบกำไรขาดทุนอย่างเดียว ไม่ตรวจกระแสเงินสดด้วยว่าไปในทิศทางเดียวกันหรือเปล่า ก็จะถูกบริษัทตบตาด้วยวิธีการแบบนี้ได้
.
กระแสเงินสดกลุ่มถัดมาคือ กระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน อันนี้หมายถึง บริษัทได้จ่ายเงินออกไปเพื่อสร้างอนาคตอะไรบ้างระหว่างงวด เช่น ลงทุนซื้อที่ดิน เครื่องจักร อาคาร หรือกิจการต่างๆ กระแสเงินสดในกลุ่มนี้เราแยกออกมาจากกระแสเงินสดเกี่ยวกับการดำเนินงาน เพราะเป็นรายการที่จ่ายไปเพื่ออนาคต รายได้ยังไม่ได้เข้ามาจริงในงวดปัจจุบัน ถ้านำมารวมกันจะทำให้ดูเหมือนธุรกิจมีรายจ่ายสูงเกินจริง เพราะที่จริงแล้วพวกนี้เป็นรายจ่ายเพื่อสร้างอนาคต โดยปกติแล้วเงินสดสุทธิในกิจกรรมการลงทุนมักเป็นเลขติดลบ เพราะเป็นการจ่ายเงินออกไปเพื่อลงทุนซื้อสิ่งของต่างๆ
.
กลุ่มสุดท้ายในงบกระแสเงินสดคือ กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน ได้แก่ รายรับรายจ่ายทั้งหลายที่เกี่ยวกับเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นของบริษัท เช่น เงินกู้รับ เงินจ่ายคืนหนี้ เงินปันผล เงินเพิ่มทุนรับ เป็นต้น รายการเหล่านี้ถูกแยกออกมาอีกหมวดหนึ่งต่างหากก็เพราะไม่ได้เกิดจากการทำ ธุรกิจ บางบริษัทอาจมีกระแสเงินสดดี เยี่ยม เพราะว่ากู้แหลก หรือเจ้าของรวยใส่เงินอุดตัวแดงเข้ามาเรื่อยๆ แต่ที่จริงแล้วตัวธุรกิจเองขาดทุนย่อยยับไม่ทำเงิน
.
โดยมากแล้วเวลาดูงบกระแสเงินสด ผมก็เพียงแต่ดูกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานว่าเป็นบวกและไปในทิศทางเดียว กันกับกำไรสุทธิในวบกำไรขาดทุนหรือไม่ บางคนบอกว่า กระแสเงินสดดำเนินงานบวกกระแสเงินสดลงทุนจะต้องเป็นบวกด้วย แต่สำหรับผมคิดว่าไม่จำเป็น เพราะถ้าหากธุรกิจมีโอกาสในการเติบโตสูง บริษัทอาจลงทุนมากกว่ากระแสเงินสดที่ผลิตได้เอง ทำให้กระแสเงินสดติดลบ (ต้องอาศัยกระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินช่วย) แต่ไม่น่าห่วง เพราะเป็นการลงทุนเพิ่มการเติบโตในอนาคต (รายได้ของบริษัทควรเติบโตสูงด้วยจึงจะน่าเชื่อถือ) เว้นแต่ว่า เราไม่เชื่อว่าธุรกิจนี้จะเติบโตได้อีกและควรที่จะจ่ายเงินสดออกมาตอบแทนผู้ ถือหุ้น (ปันผล) มากกว่าที่จะนำเงินกลับไปลงทุนเพิ่มในธุรกิจอีก
.
ตัวเลขอีกตัวหนึ่งที่มีประโยชน์กับเราในงบกระแสเงินสดคือ “ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจ่าย” เพราะเป็นตัวเลขที่ทำให้เรารู้ว่า ในรอบบัญชีนั้นบริษัทได้ตัดจ่ายค่าเสื่อมไปเป็นค่าใช้จ่ายเท่าไร ส่วนใหญ่แล้วตัวเลขนี้มักอยู่ในบรรทัดต่อจากกำไรสุทธิในกลุ่มกระแสเงินสด ดำเนินงาน ถ้าเราเอา EBIT ในงบกำไรขาดทุนมาบวกกลับด้วยตัวเลขนี้จะได้เป็นสิ่งที่เรียกว่า EBITDA ซึ่งนักวิเคราะห์นิยมนำมาใช้เป็นตัวแทนของ “กำไรที่เป็นเงินสด” ของบริษัท บางคนนิยมมอง EBITDA มากกว่า EBIT เพราะค่าเสื่อมเป็นอะไรที่เกี่ยวกับนโยบายทางบัญชีมาก อาจเป็นช่องโหว่ของการตบตานักลงทุนได้ ทำให้ได้ภาพที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับผลประกอบการในงวดปัจจุบัน การเอาค่าเสื่อมออกไปแล้วดูเฉพาะ EBITDA แทนอาจได้ภาพที่ดูสะอาดกว่า บางคนเรียก EBITDA ว่า Earnings before I tricked dumb analysts (แต่จริงๆ EBITDA ก็มีข้อเสียในแง่อื่นด้วย ดูประกอบไปทั้งสองอย่างนั้นแหละชัวร์กว่า)
.
นี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งด้วยที่ทำให้ผมสนใจ ตัวเลขรายได้ในงบการเงินมากกว่าตัวเลขอื่นเพราะมันเป็นตัวเลขในบรรทัดเริ่ม ต้น (topline) ที่ยังไม่ได้ผ่านการถูกบิดเบือนโดยนโยบายบัญชีมากนัก ยิ่ง ตัวเลขที่อยู่ต่ำลงมาในงบการเงินเท่าไรมันก็ยิ่งถูกบิดเบือนได้ง่ายด้วย นโยบายทางบัญชีต่างๆ กำไรสุทธิที่เราสนใจกันมากที่สุดนั้นอยู่ในบรรทัดสุดท้าย (bottom line) ของงบการเงินเลย จึงไม่รู้ว่าตลอดทางที่ผ่านมาในแต่ละบรรทัดมันถูกบิดเบือนโดยตัวเลขในบรรทัด บนๆ ไปมากขนาดไหนแล้ว
.
####
.
งบการเงินสำหรับนักลงทุน (5/5) : ratio analysis
.
Thursday, 25 November 2010
.
วิธีตรวจงบการเงินที่ง่ายที่สุดคือ การวัดอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ หรือที่เรียกว่า Ratio Analysis อัตราส่วนทางการเงินนั้นมีอยู่ด้วยกันมากมายหลายตัวมาก เราอาจตรวจดูอัตราส่วนหลายๆตัวพร้อมกัน เพื่อเป็นการตรวจสุขภาพโดยทั่วไปของบริษัทก็ได้ ต่อไปนี้เป็นอัตราส่วนสำคัญ 6 ตัว ที่ผมแนะนำให้ลองตรวจสอบดูก็จะได้ภาพของธุรกิจที่ครอบคลุมพอสมควร
.
1. Quick Ratio = (เงินสดและเทียบเท่า + ลูกหนี้การค้า + ตราสารการเงินระยะสั้น) / หนี้สินหมุนเวียน
.
Quick Ratio ใช้เช็ค “สภาพคล่อง” ของบริษัท โดยลองสมมติว่าถ้าเจ้าหนี้ระยะสั้น (หนี้สินหมุนเวียน) ทั้งหมดมาทวงหนี้พร้อมกัน บริษัทจะยังสามารถหมุนเงินสด (จากสินทรัพย์หมุนเวียนที่หมุนได้เร็ว) มาใช้คืนได้หรือไม่ โดยสามัญสำนึก Quick Ratio ก็ควรมากกว่า 1.0 และยิ่งมากก็ยิ่งดี ที่จริงแล้วมีอัตราส่วนอีกตัวที่คล้ายกันชื่อ Current Ratio ซึ่งนับรวมสินทรัพย์หมุนเวียนทั้งหมดของบริษัทว่าเป็นสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็ว แต่ ผมไม่ชอบ เพราะไม่รู้ว่าสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นๆ คืออะไรบ้าง และเวลาบริษัทขาดสภาพคล่องส่วนใหญ่แล้วสินค้าคงคลังมักจะหมุนไม่ค่อยออก เลยชอบดู Quick Ratio มากกว่าครับ
.
2. Return on Assets (ROA) = EBIT * (1-Taxrate) / สินทรัพย์เฉลี่ย
.
สินทรัพย์เฉลี่ย ROA ใช้วัดผลตอบแทนของธุรกิจ เพราะวัดกำไร(EBIT)ที่ทำได้ เทียบกับเงินทุนที่จมอยู่ในสินทรัพย์ทั้งหลายของกิจการ (ต้อง เฉลี่ยต้นปีกับท้ายปีเอา เพราะว่าไม่เท่ากัน) โปรดสังเกตว่า ผลตอบแทนของธุรกิจที่แท้จริงนั้นต้องวัดเทียบกับสินทรัพย์มิใช่รายได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ต้นทุนจริงๆของผู้ถือหุ้นคือเงินทุนที่จมอยู่ในรูปของสินทรัพย์ของบริษัทแทน ที่จะเอาเงินนั้นไปหาผลตอบแทนอย่างอื่น บางคนใช้ Net Income แทนกำไร แต่ผมคิดว่าควรใช้ EBIT มากกว่า เพราะสินทรัพย์เป็นของเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นรวมกัน แต่ Net Income เป็นผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเท่านั้น เพราะหักดอกเบี้ยออกไปแล้ว ส่วนเหตุที่ต้องคูณด้วย 1-TaxRate เป็นเพราะ EBIT นั้นยังไม่ได้หักภาษีซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทออก มีอัตราส่วนอีกตัวหนึ่งที่คล้ายกันคือ ROE ซึ่งวัดผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นอย่างเดียว แต่ ผมเห็นว่า ROA นั้นดีกว่า ROE เพราะธุรกิจอย่างเดียวกัน อาจมี ROE ต่างกันได้ด้วยการกู้เงิน ถ้าอยากวัดศักยภาพของธุรกิจจริงๆ โดยไม่เกี่ยวกับการกู้เงิน ต้องดูกันที่ ROA ธุรกิจทั่วไปควรมี ROA อย่างน้อย 10% เฉลี่ยในระยะยาว ยกเว้นพวกสถาบันการเงินซึ่งไม่มีทางทำ ROA สูงเท่ากับ Real Sector ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ดี
.
3. Debt to equity Ratio = (หนี้สิน) / ส่วนของทุน
.
ส่วนของทุน D/E ratio คือ อัตราส่วนมาตรฐานที่ใช้ตรวจดู Leverage ของบริษัท หมายความว่า บริษัทใช้หนี้มากขนาดไหนในการเร่งผลตอบแทน เพราะบริษัทสองบริษัทที่ทำผลตอบแทนทางธุรกิจได้เท่ากัน บริษัทที่มีหนี้มากกว่าจะทำผลตอบแทนกลับสู่ผู้ถือหุ้นได้สูงกว่า (ROE มากกว่า) เนื่องจากใช้เงินทุนของผู้ถือหุ้นน้อย แล้วอาศัยการกู้เงินมาทุนแทน การที่บริษัทมี D/E ratio ที่สูงเกินไป จึงแสดงถึงความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในผลตอบแทนที่มากกว่า เพราะถ้าธุรกิจสะดุด บริษัทที่มีหนี้มากกว่าย่อมเดือดร้อนมากกว่า อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทไม่มีหนี้เลยไม่ได้แปลว่าเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป บริษัทที่มีธุรกิจมั่นคงในระดับหนึ่งแล้ว และมีสินทรัพย์ถาวรที่สามารถใช้ค้ำประกันหนี้ได้ การมีหนี้น้อยเกินไปเท่ากับเป็นการละทิ้งโอกาสที่จะประหยัดภาษี เพราะหนี้เป็น Tax-shield อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นการมีหนี้บ้างไม่ใช่เรื่องเสียหาย อาจเป็นเรื่องที่ควรกระทำเสียด้วยซ้ำ แต่ที่เราต้องระวังคือการมีหนี้มากจนเกินไปจนทำให้ธุรกิจเกิดความเสี่ยงมากกว่าที่จะช่วยทำให้ประหยัดภาษี สำหรับธุรกิจทั่วไปควรมี D/E ไม่เกิน 1.0 ถ้าเป็นธุรกิจซื้อมาขายไปอาจมี D/E ได้ถึง 3.0 ยกเว้นพวกสถาบันการเงินที่จะต้องมี D/E ที่สูงกว่านั้นมากครับ
.
4. Interest Coverage Ratio = (EBIT) / ดอกเบี้ยจ่าย
.
ดอกเบี้ยจ่าย Interest Coverage Ratio ใช้ประมาณความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งแหล่งเงินภายนอกบริษัท เพราะถ้าบริษัทมีภาระจ่ายดอกเบี้ยต่อปีน้อยกว่ากำไรที่ได้จากธุรกิจมากๆ บริษัทก็สามารถรับผิดชอบภาระดอกเบี้ยได้ด้วยผลกำไรจากธุรกิจเอง นับว่าเป็นความมั่นคงอย่างหนึ่งของธุรกิจในแง่ของสภาพคล่อง บริษัทที่มีค่านี้น้อยกว่า 2.0 แสดงว่าผลตอบแทนส่วนใหญ่ของธุรกิจตกอยู่ในมือเจ้าหนี้ แทนที่จะเป็นของผู้ถือหุ้น ซึ่งอาจแสดงถึงการกู้เงินที่มากเกินไปด้วย
.
5. Asset Turnover = (รายได้) / สินทรัพย์
.
สินทรัพย์ Asset Turnover ใช้วัด “ประสิทธิภาพ” ของธุรกิจ เพราะวัดว่าภายใต้สินทรัพย์ที่มีอยู่จำนวนหนึ่ง บริษัทสามารถสร้างรายได้ได้มากแค่ไหน ยิ่งสร้างรายได้ได้มากแสดงว่าสินทรัพย์ของบริษัทถูกนำไปใช้อย่างคุ้มค่า เพราะนำไปหมุนให้เปลี่ยนเป็นเงินได้เร็ว บางบริษัทขายของกำไรน้อยมาก แต่สินค้าหมุนเวียนเร็ว ก็สามารถสร้างผลตอบแทนทางธุรกิจที่สูงกว่าได้เหมือนกัน Asset Turnover จึงเป็นตัวเลขที่ไม่ควรมองข้าม ครั้ง หนึ่งผมเคยเปรียบเทียบมาร์จิ้นของบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันแล้วเห็นว่า เหมือนๆกันหมด แต่พอลองดู Asset Turnover ก็เห็นว่าแตกต่างกันมาก ทำให้ผมเกิดความสนใจบริษัทที่มี Asset Turnover สูงกว่าเพื่อน เพราะแสดงว่าจริงๆ แล้วบริษัทนี้ใช้สินทรัพย์ได้มีประสิทธิภาพมากกว่า แต่เวลาดูมาร์จิ้นแล้วไม่เห็นความแตกต่างเป็นเพราะลูกค้าของอุตสาหกรรมนี้ ค่อนข้างมีการเปรียบเทียบราคาสูงมาก ทำให้ไม่มีบริษัทไหนสามารถเอากำไรเกินตลาดได้ แล้วในที่สุดก็ทำให้ผมได้ค้นพบหุ้นชั้นยอดในเวลาต่อมา ถ้าเราดูแต่มาร์จิ้นเราจะไม่พบความแตกต่างตรงนี้ครับ
.
6. Inventory Turnover = (ต้นทุนสินค้าขาย) / สินค้าคงคลังเฉลี่ย
.
สินค้าคงคลัง เฉลี่ย อันนี้เหมือน Asset Turnover แต่วัดกันที่การหมุนสินค้าคงคลังอย่างเดียวเลย เป็นการเช็คว่าสินค้าของบริษัทหมุนเวียนดีหรือไม่ มี dead stock ที่อาจเสื่อมค่าในอนาคตได้เยอะหรือไม่ เป็นตัวเลขที่สำคัญมากสำหรับธุรกิจที่ขายสินค้าที่แตกต่าง เพราะแม้ว่าสินค้าที่แตกต่างมักจะทำมาร์จิ้นได้สูง แต่ถ้ามีส่วนที่ขายไม่ออกเยอะมาก (ซึ่งปกติต้องมีส่วนหนึ่งอยู่แล้ว) ถึงเวลาต้องมาตัดขาดทุนทิ้ง ทำให้สรุปแล้วอาจทำกำไรได้น้อยหรือขาดทุนเลยก็ได้ ถ้าเอา 365 ตั้งหารด้วย Inventory Turnover จะได้อัตราส่วนใหม่ที่เรียกว่า Days Inventory Turnover มีหน่วยเป็น วัน ซึ่งหมายถึงระยะเวลาโดยประมาณที่สินค้าของบริษัทจะค้างอยู่ในคลังก่อนที่จะ ทำยอดขายให้บริษัทได้ ถ้ายิ่งมีค่าน้อยก็แสดงว่าสินค้าซื้อง่ายขายคล่อง ขายได้แบบแทบไม่ต้องขนขึ้นบ้านเลย เป็นต้น
.
เรื่องงบการเงินนั้น ผมยอมรับว่า ผมเองไม่ได้ให้น้ำหนักมากนัก เพราะผมตัดสินใจลงทุนจากเหตุผลเชิงคุณภาพเป็นหลัก (ธุรกิจมีอนาคตที่สดใส บริษัทมีกลยุทธ์การเติบโตที่ดี บริษัทมีข้อได้เปรียบที่ชัดเจน ฯลฯ) ผมจะใช้งบการเงินเป็นแค่การตรวจสอบอีกชั้นหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่า ตัวเลขต่างๆสอดคล้องกับสิ่งที่เราคิดหรือไม่ และใช้ดูว่าบริษัทยังมีอะไรอย่างอื่นที่เราต้องกังวลอีกหรือเปล่า ผมถือว่า ผมเน้นลงทุนแต่ในบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือระดับหนึ่งแล้วเท่านั้น และอาศัยการกระจายการลงทุน แทนการวิเคราะห์งบการเงินแบบเจาะลึก นักลงทุนบางคนอาจใช้งบการเงินเป็นเครื่องมือหลักในการเลือกหุ้น เช่น คนที่ลงทุนในแนว Asset Play แต่ผมก็ไม่เคยลงทุนในแนวนั้นเลย ผมคิดว่าผมคงไม่ได้รู้บัญชีลึกซึ้งมากขนาดที่จะขุดพบสิ่งที่ซ่อนอยู่ในงบการ เงินที่คนทั่วไปมองไม่เห็นออกมาได้ งบการเงินเป็นสิ่งที่บอกอดีตและปัจจุบันของบริษัทได้ดี แต่บอกอนาคตได้น้อย ผมจึงให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์เชิงคุณภาพมากกว่า
.
สาระสำคัญของงบการเงินของบริษัทมหาชนนั้นอยู่ ในงบสามตัวใหญ่ ได้แก่ งบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด ส่วนหมายเหตุประกอบงบการเงิน และงบแสดงส่วนเปลี่ยนแปลงของผู้ถือหุ้นนั้น เป็นส่วนของรายละเอียดเพิ่มเติม ถ้าจะให้ดีเวลาอ่านงบการเงินควรพลิกไปอ่านความเห็นของผู้สอบบัญชีด้วยสักนิด งบการเงินที่ดีควรเป็นงบที่ผู้สอบบัญชีแสดงความเห็นแบบไม่มีเงื่อนไข ถ้าหากผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็น หรือแสดงความเห็นอย่างมีเงิ่อนไข มักทำให้ผมไม่ค่อยอยากอ่านงบการเงินของบริษัทนั้นต่อแล้ว เพราะไม่รู้ว่า สิ่งที่แสดงอยู่ในงบการเงินนั้นจะเชื่อถือได้มากแค่ไหน และพาลให้อยากเลิกคิดลงทุนในบริษัทนั้นไปด้วยเลย เพราะไม่รู้ว่าเราจะเสี่ยงลงทุนกับบริษัทที่ไม่สามารถแสดงงบการเงินในแบบที่ เรียบร้อยตามหลักบัญชีให้นักลงทุนดูได้ไปทำไม ในเมื่อเรายังมีตัวเลือกอื่นดีๆอีกมากมายในตลาด
.
และเช่นเดียวกัน การเป็นนักลงทุนนั้น ที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องเก่งบัญชีมากๆ แต่ควรเข้าใจภาพใหญ่ๆของการดูงบการเงิน เวลาที่เจองบการเงินของบริษัทที่ซ้บซ้อนมากๆ มีรายการพิเศษเยอะๆ แทนที่เราจะต้องพยายามแกะให้ได้ เราสามารถเปลี่ยนไปลงทุนในบริษัทอื่นที่มีงบการเงินที่เข้าใจได้ง่ายกว่าแทน ก็ได้ มีให้เลือกอีกเยอะแยะในตลาด วอ เรน บัฟเฟต กล่าวว่า บริษัทที่เขียนงบการเงินให้คนอ่านเข้าใจยากๆ เหมือนไม่อยากให้คนเข้าใจนั้น แสดงว่าอาจมีอะไรบางอย่างที่ไม่ดีที่เขาจะต้องแอบซ่อนเอาไว้ ถ้าธุรกิจดีจริงๆ เขามักจะอยากโชว์
.
แนวคิดอย่างแรกที่อยากให้นักลงทุนมองเวลาที่เริ่มต้นอ่านงบการเงินคือ งบดุลเป็นบัญชีที่แสดง “ฐานะการเงินของบริษัท” ณ วันสิ้นงวด พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ สมมติว่าหยุดกิจกรรมทุกอย่างไว้ชั่วคราว ณ วันสิ้นงวด แล้วลองนับดูว่าบริษัทมีสมบัติอะไรติดตัวบ้าง มีหนี้เท่าไร (เอาสินทรัพย์หักหนี้สินจะเหลือเป็นส่วนที่เป็นของบริษัทจริงๆ) ส่วนงบกำไรขาดทุนนั้นคือบัญชีที่แสดง ผลงานของบริษัท “ตลอด” งวดบัญชีนั้น กล่าวคือ ตลอดช่วงเวลาของรอบบัญชีนั้น บริษัททำรายได้ไปได้เท่าไร หักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือกำไรเท่าไร (รายได้หักค่าใช้จ่ายเท่ากับกำไร) งบดุลจึงเป็นเหมือนภาพนิ่งเมื่อวันจบงวด ส่วนงบกำไรขาดทุนนั้นเป็นผลงานรวมตลอดระยะเวลาทั้งหมดเฉพาะในรอบบัญชีนั้น
.
ส่วนงบกระแสเงินสดนั้น เป็นบัญชีที่แสดงการไหลเข้าออกของเงินสดระหว่างรอบบัญชีนั้น นักบัญชีบังคับให้บริษัทมหาชนต้องแสดงการไหลเข้าออกของเงินสดด้วยเพื่อ “กันเหนียว” กล่าวคือ เวลาคิดกำไรขาดทุนตามหลักบัญชีนั้นอาจมีช่องว่างบางอย่างที่ทำให้บริษัทฉายภาพว่าธุรกิจไปได้ดี ทั้งที่จริงๆแล้วมีปัญหา การบังคับให้ต้องแสดงงบกระแสเงินสดด้วยนั้น จะช่วยทำให้บริษัทหาช่องว่างได้ยากขึ้น บางคนบอกว่างบกระแสเงินสดสำคัญ งบกำไรขาดทุนไม่สำคัญ บางคนบอกว่างบกำไรขาดทุนสำคัญ งบกระแสเงินสดไม่สำคัญ แต่ที่จริงแล้ว เวลาดูงบการเงินควรดูทั้งสามงบประกอบกันว่าสอดคล้องกันหรือไม่ถึงจะชัวร์ สรุปก็คือสำคัญทั้งสามงบ
.
นอกจากนี้ ในแต่ละงบยังแยกออกเป็นสองชุดคือ งบการเงินเฉพาะบริษัท และงบการเงินรวม ด้วย เพราะบริษัทหนึ่งๆ อาจประกอบด้วยบริษัทร่วมและบริษัทย่อยหลายบริษัท เช่น พวกโฮลดิ้งคอมปะนี งบการเงินรวมคืองบที่รวมงบการเงินของบริษัทร่วมและบริษัทย่อยเข้าด้วยกันให้ เหมือนเป็นบริษัทเดียวกัน จะได้เห็นสถานะการเงินทั้งหมดของบริษัท มีคำถามเสมอว่า เราควรดูงบการเงินเฉพาะของบริษัทหรืองบการเงินรวมดี บ่อยครั้งที่บริษัทมหาชนต้องการให้แต่ละหน่วยธุรกิจบริหารจัดการตัวอย่างแบบ เป็นเอกเทศ จึงทำให้ต้องมีโครงสร้างเป็นบริษัทร่วมและบริษัทย่อย แต่ ในมุมของผู้ถือหุ้นแล้ว ไม่ว่าจะซอยยังไงก็เป็นสมบัติของผู้ถือหุ้นเหมือนกัน การที่ต้องจัดทำงบการเงินรวมก็เป็นวิธีการทางบัญชีที่จะช่วยทำให้กลุ่ม ธุรกิจดูเหมือนเป็นก้อนเดียวกัน โดยปกติแล้ว ผมจึงดูแต่งบการเงินรวมเป็นหลัก มีบางกรณีเหมือนกันที่เราควรจะดูงบการเงินเฉพาะของบริษัทมากกว่างบการเงินรวม แต่เป็นกรณีที่น้อยมากครับ ไม่อยากขยายความให้ชวนปวดหัว
.
เอาแค่นี้ก่อนนะครับสำหรับการ overview เอาไว้ตอนหน้าจะมาลงรายละเอียดทีละงบว่า เราควรดูอะไรในงบเหล่านั้นบ้าง
.
Friday, 29 October 2010
.
งบการเงินสำหรับนักลงทุน (1/5) : overview
.
นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์
####
.
งบการเงินสำหรับนักลงทุน (2/5) : งบกำไรขาดทุน
.
Friday, 5 November 2010
.
ในฐานะ growth investor ถ้าผมเปิดงบกำไรขาดทุนขึ้นมาดู สิ่งแรกที่ผมมักจะดูก่อนเสมอคือการเติบโตของรายได้ครับ บริษัทที่ปกติดีควรมีรายได้เพิ่มขึ้นเสมอเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จะเพิ่มมากหรือน้อยก็แล้วแต่ แต่ไม่ควรจะลดลงอย่างยิ่ง ที่ต้องเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แทนที่จะเทียบกับงวดที่แล้ว ก็เพราะธุรกิจมักมีเรื่องของฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงควรเทียบผลงานในช่วงเดียวกันของทุกปี และผมมักจะสนใจเฉพาะการเติบโตของรายได้ที่มาจากธุรกิจหลัก ไม่ใช่รายได้รวม เพราะรายได้อื่นๆ เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและมักไม่ใช่แก่นของธุรกิจของบริษัท จึงไม่ควรนำมาเกี่ยวข้องเวลาประเมินสภาวะของกิจการ
.
ที่จริงผมให้ความสำคัญกับการเติบโตของรายได้หลักมากกว่ากำไรเสียอีก เพราะการทำธุรกิจนั้นกำไรย่อมต้องมีความผันผวนบ้างเป็นเรื่องธรรมดาของการทำ ธุรกิจที่ต้องมีความไม่แน่นอน บริษัทที่กำไรเพิ่มขึ้นได้อย่างสม่ำเสมอเป็นเส้นตรง คงมีแต่บริษัทที่แต่งบัญชีเองเท่านั้น ดังนั้น ถ้ากำไรของบริษัทลดลงบ้างในบางช่วง ผมไม่ถือว่าคอขาดบาดตาย และไม่มีความจำเป็นต้องรีบขายหุ้นหนี ซึ่งจะต่างกับคนที่เล่นหุ้นระยะสั้นด้วยวิธีการเก็ง EPS เป็นรายไตรมาส กลุ่มนี้ถ้าเขารู้ว่า EPS ไตรมาสหน้ากำลังจะลดลง ปกติเขาจะรีบหนีทันที แต่สำหรับผม ถ้ารายได้ยังเติบโตได้อยู่ สุดท้ายแล้วกำไรก็จะกลับมาสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้อีก
.
แต่ถ้าหากรายได้ลดลงนั้น น่าเป็นห่วงมากกว่า เพราะปกติแล้วถ้าธุรกิจแย่ลงชั่วคราว บริษัทมักเลือกที่จะรักษารายได้เอาไว้ แล้วยอมลดกำไรลง มากกว่าที่จะปล่อยให้รายได้ลดลง เพราะถ้าโวลู่มขายลดลง ต้นทุนต่อหน่วยมักจะเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทแข่งขันไม่ได้ด้วย รักษาโวลุ่มไว้ก่อนดีกว่า ดังนั้น ถ้าหากรายได้ถึงขั้นลดลง แสดงว่าปัญหาของบริษัทน่าจะไม่ธรรมดา ธุรกิจอาจจะกำลังหมดยุค หรือบริษัทกำลังเสียความสามารถในการแข่งขันไปอย่างถาวร
.
เว้นแต่พวกที่ขายสินค้าคอมโมฯ ที่ราคาตลาดผันผวนสูงๆ เช่น ถ่านหิน โรงกลั่น ฯลฯ พวกนี้บางทีราคาตลาดผันผวนแรงมากๆ ก็อาจทำให้รายได้ลดลงได้โดยที่ปริมาณการขายไม่ได้ลด ดังนั้น ถ้าหากบริษัทเหล่านี้มีรายได้ลดลง ควรรีบตรวจสอบดูว่า ปริมาณการขายลดลงด้วยหรือไม่
.
ถัดจากการเติบโตของรายได้ ผมจะตรวจสอบดูว่า Gross Margin ของบริษัทเปลี่ยนไปอย่างไร Gross Margin ก็คือ (รายได้-ต้นทุนขาย) หารด้วย รายได้ หรืออาจจะตรวจดูว่าต้นทุนขายเพิ่มขึ้นมากกว่าหรือน้อยกว่ารายได้ที่เพิ่ม ขึ้นก็ได้ (ความหมายจะเหมือนกัน) ถ้า Gross Margin ไม่ต่ำลง แสดงว่า ไม่มีอะไรผิดปกติ ถ้าหากต่ำลง แสดงว่า ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น หรือมิฉะนั้น อาจเกิดจากบริษัทยอม dump ราคาลงมา เพื่อดึงยอดขายเอาไว้ ก็ได้
.
นอกจากนี้ ถ้าอยู่ดีๆ Gross Margin ของบริษัทเพิ่มขึ้น อาจเป็นสัญญาณที่แสดงว่าพื้นฐานของบริษัทกำลังจะดีขึ้นได้ด้วย เช่น ตลาดอยู่ในช่วงเติบโตสูง หรือสินค้าใหม่ของบริษัทอาจสร้างความแตกต่างได้มากกว่าเดิมทำให้บริษัทมี market power มากขึ้น สามารถ command pricing ได้มากกว่าเดิม มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ครับว่า หุ้นที่กำลังจะทะยาน Gross Margin มักกระตุ้นขึ้นให้เห็นก่อน
.
ถัดจาก Gross Margin ผมจะดู Operating Margin ซึ่งได้แก่ EBIT หารด้วย รายได้ ครับ ถ้า Operating Margin ดีขึ้น แสดงว่าบริษัทอาจบริหารจัดการได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรืออาจเป็นรายได้สูงขึ้น ทำให้ค่าโสหุ้ยต่อหน่วยลดลง ซึ่งเป็นเรื่องดีทั้งนั้น
.
สังเกตว่าผมจะสนใจ Operating Margin มากกว่า Net Profit Margin เพราะ Net Income นั้นนับรวมภาษีและดอกเบี้ยด้วย ทั้ง สองรายการนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางการเงินของบริษัทและการบริหารภาษี ฉะนั้นจึงไม่ค่อยเกี่ยวกับพื้นฐานของธุรกิจที่เปลี่ยนไปเท่าไร ทำให้เมื่อนำมารวมแล้ว อาจให้ภาพที่บิดเบื่อนเกี่ยวกับพื้นฐานของบริษัทได้ครับ วัดกันแฟร์ๆ เฉพาะรายการที่เกี่ยวกับ operation ไปเลยแมนกว่าครับ
.
อีกเรื่องที่ ต้องระวังคือ เราไม่สามารถสรุปได้ว่าธุรกิจไหนดีด้วยการดูว่า Margin สูงหรือต่ำ เพราะขึ้นอยู่กับ economic ของแต่ละธุรกิจด้วย อย่างธุรกิจค้าปลีกนั้นมี Net Margin แค่ 3% เท่านั้น แต่อาจเป็นธุรกิจที่ดีกว่าธุรกิจผลิตเครื่องสำอางค์ที่มี Net Margin 10% เพราะว่า Turnover มันสูงกว่ากันมาก ในการเปรียบเทียบ Margin ข้ามบริษัทนั้น เราเปรียบเทียบได้แค่กับบริษัทอื่นที่ทำธุรกิจที่เหมือนกันเปี๊ยบ หาก Margin สูงกว่าก็แสดงว่า บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันมากกว่าคู่แข่ง แต่ปกติแล้ว แม้แต่ธุรกิจแบบเดียวกัน ก็ยังไม่เหมือนกันเปี๊ยบเลย อย่างเช่น บริษัทบ้านบางบริษัทเน้นทำบ้านหรู บางบริษัทเน้นทำบ้านตลาดล่าง การที่บริษัทเน้นทำบ้านหรูมี Margin สูงกว่าอาจไม่ได้แปลว่าดีกว่าเสมอไป เพราะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่บ้านหรูควรจะมีมาร์จิ้นสูงกว่าบ้านตลาดล่าง การเปรียบเทียบ Margin ข้ามบริษัทจึงเป็นสิ่งที่ควรระวัง แค่เปรียบเทียบกับตัวเองในอดีตน่าจะดีกว่า
.
####
.
งบการเงินสำหรับนักลงทุน (3/5) : งบดุล
.
Wednesday, 10 November 2010
.
งบดุลคือบัญชีแสดง “ฐานะทางการเงิน” ของบริษัท กล่าวคือ สมมติว่าหยุดกิจกรรมทั้งหมดเอาไว้ชั่วคราว ณ วันปิดบัญชี บริษัทเป็นเจ้าของสินทรัพย์อะไรบ้าง มีหนี้สินอยู่เท่าไร ส่วนต่างระหว่างสินทรัพย์กับหนี้สินทั้งหมดของบริษัทนั้นเรียกว่า ส่วนของเจ้าของ ซึ่งหมายถึงส่วนของสินทรัพย์ที่ผู้ถือหุ้นเป็นเจ้าของจริงๆ ถ้าหากหักหนี้ออกหมดแล้ว ตามสมการ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ
.
ในการตรวจสอบงบดุลตามปกติ ผมมักจะเริ่มต้นด้วยการตรวจดูลูกหนี้การค้าก่อน ลูกหนี้การค้าควรเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนในสัดส่วนที่น้อยกว่าหรือ เท่ากับรายได้ที่โตขึ้น เพราะถ้าเพิ่มขึ้นมากกว่า อาจเป็นสัญญาณที่แสดงว่า บริษัทเร่งยอดขายด้วยการปล่อยเครดิตให้แก่ลูกค้ามากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ ลูกค้าอยากซื้อ ซึ่งเป็นการเร่งยอดขายในระยะสั้น ที่อาจนำมาซึ่งปัญหาหนี้เสียในระยะยาวได้ ถ้าหากเห็นว่าไม่ปกติให้เปิดไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหมายเหตุประกอบงบการ เงินเพื่อดูว่าจำนวนลูกหนี้การค้าแบ่งแยกตามระยะเวลาค้างจ่ายทอดยาวออกไปมาก ขึ้นหรือไม่ มีลูกหนี้การค้าที่สงสัยว่าจะเก็บเงินไม่ได้มากน้อยแค่ไหน ถ้ามี บริษัทได้มี่การตั้งสำรองไว้แล้วเพียงพอหรือไม่ ลูกหนี้การค้าเป็นรายการที่สำคัญมากในธุรกิจประเภทซื้อมาขายไป บ่อยครั้งที่บริษัทเหล่านี้ทำยอดขายให้ดูดีด้วยการผ่อนคลายเรื่องเครดิต แต่สุดท้ายแล้วรายได้ที่เพิ่มขึ้นนั้นตามเก็บเงินไม่ได้ กลายเป็นหนี้เสีย
.
ถัดจากลูกหนี้การค้าก็คือ สินค้าคงคลัง ที่ ควรเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีที่แล้วในสัดส่วนที่น้อยกว่าหรือเท่ากับต้น ทุนขาย (การค้าใหญ่ขึ้นก็ต้องสต๊อกสินค้ามากขึ้นได้แต่ควรจะไม่มากกว่า)
.
การทำบัญชีสินค้าคงคลังนั้น หลักบัญชียอมให้บริษัทเลือกวิธีลงบัญชีได้หลายแบบ (LIFO, LIFO, average cost) เพื่อให้สะท้อนความเป็นจริงได้มากที่สุด แต่ในทางตรงกันข้ามก็เป็นช่องโหว่ที่บริษัทอาจใช้เพื่อบริหารงบให้ดูดีได้ ด้วย ถ้าหากเป็นธุรกิจที่ขายสินค้าที่ราคาเปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น สินค้าไอที หรือราคาเปลี่ยนแปลงช้า แต่สินค้ามักสต็อกไว้นานกว่าจะขายออกไปจนทำให้ราคาทุนต่างกับราคาปัจจุบัน มากๆ อย่างเช่น ที่ดิน วิธีตัดสินค้าคงคลังเวลาเกิดยอดขายที่แตกต่างกันนั้นจะทำให้ต้นทุนขายแตก ต่างกันได้อย่างมาก ยิ่งถ้ามีการปรับเปลี่ยนวิธีระหว่างงวด หรือมี LIFO Liquation ตัวเลขต้นทุนขายในงวดนั้นอาจสื่ออะไรไม่ได้เลย ตัว เลขกำไรของธุรกิจที่ขายสินค้าที่มีราคาต้นทุนเปลี่ยนแปลงได้บ่อยจึงใช้วัด อะไรได้น้อยเหมื่อนกัน การเปรียบเทียบผลงานระหว่างคู่แข่งยิ่งต้องระวังเข้าไปใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าวิธีการตัดจ่ายสินค้าคงคลังของสองบริษัทต่างกันมากแค่ไหน
.
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนของบริษัทที่สำคัญได้แก่ เครื่องจักร อาคารและที่ดิน สินทรัพย์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะลงบัญชีที่ราคาทุนและตัดจ่ายค่าเสื่อมไปเรื่อยๆ ระยะเวลา (ถ้ามี) ซึ่งอาจไม่ได้สื่อความหมายอะไรมากนัก เพราะมูลค่าตลาดที่แท้จริงของสินทรัพย์เหล่านี้มักต่างกับมูลค่าทางบัญชีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นสินทรัพย์ที่ซื้อมานานแล้ว โดยมากแล้วผมไม่ได้สนใจรายการเหล่านี้มากนักครับ
.
ลองตรวจดูว่าบริษัทมีสินทรัพย์อื่นๆอะไรบ้าง กิจการที่ดีไม่ควรจะมีสินทรัพย์อื่นๆมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากไม่ได้แจงไว้ด้วยว่าสินทรัพย์เหล่านั้นคืออะไร เพราะสินทรัพย์อื่นๆ คือบรรทัดที่บริษัทสามารถซุก non-productive assets ทั้งหลายเอาไว้ รวมทั้งพวกรายการสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับบริษัท เช่น เงินกู้กรรมการบริษัท/ผู้ถือหุ้นใหญ่บางคน รายการทำนองนี้ไม่ควรจะมีเลยเพราะอาจบ่งชี้ถึงความไม่โปร่งใส ธรรมภิบาลที่ไม่ดี และการมี conflict of interest ของบริษัทมหาชน อย่างไรก็ตาม ถ้าหากรายการเหล่านี้มีมูลค่าน้อยกว่า 5% ของสินทรัพย์ทั้งหมด ก็พอจะยอมรับได้ แต่ถ้ามากกว่านั้นก็อาจเป็นเรื่องที่เราต้องกังวล
.
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญเวลาดูงบดุลก็คือ การตรวจสอบความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัท เวลามองเรื่องหนี้นั้นเรามักสนใจแค่ว่าบริษัทมีหนี้มากหนี้น้อยเมื่อเทียบกับทุน แต่ที่จริงแล้วเรื่องที่สำคัญกว่านั้นมากคือ เรื่องสภาพคล่อง บริษัทจะมีหนี้มากหรือน้อยแต่ถ้าขาดสภาพคล่องที่จะจ่ายหนี้ในระยะอันใกล้ก็ น่ากลัวเท่ากัน ลองดูว่าบริษัทมีเงินสดมากเท่าไรเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยที่จ่ายอยู่ในแต่ละปี รวมทั้งเงินต้นส่วนที่มีกำหนดจะต้องชำระคืนภายในไม่เกินหนึ่งปีข้างหน้า ซึ่งบริษัทจะต้องแยกไว้ให้เห็นในงบดุล ถ้าหากบริษั่ทมีเงินสดน้อยเมื่อเทียบกับภาระหนี้ในระยะสั้น บริษัทอาจหวังใช้ลูกหนี้การค้าที่กำลังจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินในอนาคตในการ ชำระหนี้ก็ได้ (หมุนเงินเอา) ลองเปรียบเทียบสัดส่วนระหว่างภาระหนี้ในระยะสั้นกับสินทรัพย์หมุนเวียนเหล่า นี้ดูก็แล้วกัน เรื่องพวกนี้เอาไว้ผมจะพูดถึงอีกทีตอนที่พูดถึงเรื่อง ratio analysis ก็แล้วกันครับ
.
สุดท้ายควรเช็คดูในหมายเหตุประกอบงบการเงินว่า บริษัทมีหนี้สินที่อยู่นอกงบดุลอื่นๆ ด้วยหรือไม่ ที่สำคัญได้แก่ ความเสี่ยงที่จะโดนฟ้องร้องในอนาคต สัญญาที่มีภาระผูกผันทางการเงินต่างๆ และพวก lease obligation ทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ที่จริงแล้วถือเป็นส่วนหนึ่งของหนี้สินของบริษัทด้วย แต่ไม่ได้รวมไว้ในงบดุลตามหลักบัญชี ซึ่งเราก็ไม่ควรจะมองข้าม อีก เรื่องหนึ่งที่ผมชอบตรวจดูในหมายเหตุประกอบงบการเงินด้วยคือ บริษัทยังมีวงเงินเหลืออยู่กับสถาบันการเงินอีกเท่าไรที่ยังไม่ได้กู้จริง ตรงนี้ถือว่าเป็น buffer ที่สำคัญอย่างหนึ่งของธุรกิจ บริษัทที่ทำธุรกิจด้วยกู้จนเต็มวงเงินตลอดเวลาย่อมแสดงถือวัฒนธรรมการบริหาร งานที่ค่อนข้าง aggressive เกินไป เวลาเกิด market shock มักกระทบรุนแรง อีกทั้งเวลาเจอโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจก็อาจไม่สามารถ take opportunity ได้ทันท่วงที เพราะไม่มีสภาพคล่องส่วนเกินที่จะนำมาใช้ลงทุนได้ทันทีครับ.
.
####
.
งบการเงินสำหรับนักลงทุน (4/5) : งบกระแสเงินสด
.
Tuesday, 16 November 2010
.
งบกระแสเงินสดเป็นบัญชีที่แสดงการไหลเข้าออกของเงินสดที่เกิดขึ้นสะสมในกิจการระหว่างรอบบัญชีนั้น ในทางบัญชีเราแบ่งกระแสเงินสดออกเป็นสามจำพวกคือ กระแสเงินสดที่เกี่ยวกับการดำเนินงาน กระแสเงินสดที่เกี่ยวกับการลงทุน และกระแสเงินสดด้านการเงิน โดยที่เมื่อนำกระแสเงินสดทั้งสามจำพวกมารวมกัน จะต้องเท่ากับเงินสดที่เปลี่ยนแปลงไปในรอบบัญชีนั้นพอดี เพราะกระแสเงินสดมีแค่สามอย่าง ถ้านำมาบวกกันก็ต้องเท่ากับเงินสดที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในบริษัทระหว่างงวด นั้นนั่นเอง
.
ในงบกระแสเงินสด จะแสดงกระแสเงินสดทั้งสามประเภทให้ดูทีละประเภท ถ้าลองนำกระแสเงินสดทั้งสามประเภทมาบวกกันจะพบว่าต้องเท่ากับผลต่างระหว่าง เงินสดตอนปลายงวดกับต้นงวดที่โชว์อยู่ในงบดุลของบริษัทนั้นพอดีด้วย
.
ในหมวดกระแสเงินสดเกี่ยวกับการดำเนินงานนั้น จะดูแล้วงงๆนิดหน่อย เพราะปกติแล้วการทำบัญชีเพื่อโชว์กระแสเงินสดรับหรือจ่ายของกิจกรรมที่ เกี่ยวกับการดำเนินงานให้ดูเป็นอย่างๆ (เช่น เงินสดรับจ่ายจากลูกค้า เงินสดรับจ่ายจากซัพพลายเออร์) นั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก หลักบัญชีจึงยอมให้บริษัทแสดงกระแสเงินสดเกี่ยวกับการดำเนินงานทางอ้อม (INDIRECT METHOD) โดยเริ่มต้นจากกำไรสุทธิ แล้ว reconcile กลับด้วยรายการที่ไม่เกี่ยวกับเงินสดต่างๆ จนกระทั้งกลายเป็นกระแสเงินสดเกี่ยวกับดำเนินงาน
.
คนที่ไม่ใช่นักบัญชีเวลาอ่านรายการในกระแสเงินสดเกี่ยว กับการดำเนินงานแล้วพยายามจะนึกภาพตาม ว่าจริงๆแล้วแต่ละบรรทัดมันเกิดขึ้นอย่างไรเลยมักจะงง เพราะจริงๆแล้ว รายการพวกนี้เป็นเพียงแค่ item ที่มา reconcile ทางบัญชีให้กำไรสุทธิถอยกลับมาเป็นกระแสเงินสดเท่านั้น สรุป ก็คือ เห็นแล้วก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก เหลือบไปดูบรรทัดสุดท้ายที่เขียนว่า เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน เลยดีกว่า ตัวนี้เป็นเสมือนตัวเลขที่บอกว่า ธุรกิจนี้ผลิตเงินสดไปได้เท่าไรตลอดรอบบัญชีนั้น ซึ่งควรจะเป็นบวก (ถ้าเป็นลบแสดงว่ายิ่งขยันยิ่งขาดทุน) และจะให้ดีควรมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงจากงวดที่แล้วไปในทิศทางเดียวกันกับกำไรสุทธิในงบกำไรขาดทุนของบริษัทด้วย ถ้าหากกำไรวิ่งไปทาง กระแสเงินสดวิ่งไปอีกทาง อาจเป็นไปได้ว่าบริษัทอาจกำลังสร้างภาพอะไรบางอย่างอยู่รึเปล่า
.
บางบริษัทชอบ capitalize ค่าใช้จ่ายต่างๆเอาไว้ในงบดุล แทนที่จะตัดจ่ายออกมาเพื่อทำให้กำไรที่โชว์ออกมาดูสูง (ค่าใช้จ่ายน้อย) เช่น พวกค่าสิทธิ์ต่างๆ ค่าพัฒนาซอฟต์แวร์ ค่าซื้อกิจการ หรือแม้แต่ค่าโฆษณา บริษัทชอบอ้างว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นสินทรัพย์ไม่มีตัวตนเหล่านี้ที่มี future benefit เลยขอตั้งเป็นสินทรัพย์เอาไว้ก่อนแล้วค่อยทยอยตัดจ่ายออกมาทีหลัง เพื่อให้กำไรในระยะสั้นดูดี พอนานๆไป ก็ค่อยตัดด้อยค่าเป็นรายการใหญ่ๆออกมา แล้วบอกว่านักลงทุนไม่ต้องไปสนใจ เพราะเป็นรายการพิเศษเกิดขึ้นครั้งเดียว แต่ทำเช่นนี้อยู่เนื่องๆ ทำให้กำไรในยามปกติดูสูงกว่าที่ควรจะเป็น ถ้าหากเราดูแต่งบกำไรขาดทุนอย่างเดียว ไม่ตรวจกระแสเงินสดด้วยว่าไปในทิศทางเดียวกันหรือเปล่า ก็จะถูกบริษัทตบตาด้วยวิธีการแบบนี้ได้
.
กระแสเงินสดกลุ่มถัดมาคือ กระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน อันนี้หมายถึง บริษัทได้จ่ายเงินออกไปเพื่อสร้างอนาคตอะไรบ้างระหว่างงวด เช่น ลงทุนซื้อที่ดิน เครื่องจักร อาคาร หรือกิจการต่างๆ กระแสเงินสดในกลุ่มนี้เราแยกออกมาจากกระแสเงินสดเกี่ยวกับการดำเนินงาน เพราะเป็นรายการที่จ่ายไปเพื่ออนาคต รายได้ยังไม่ได้เข้ามาจริงในงวดปัจจุบัน ถ้านำมารวมกันจะทำให้ดูเหมือนธุรกิจมีรายจ่ายสูงเกินจริง เพราะที่จริงแล้วพวกนี้เป็นรายจ่ายเพื่อสร้างอนาคต โดยปกติแล้วเงินสดสุทธิในกิจกรรมการลงทุนมักเป็นเลขติดลบ เพราะเป็นการจ่ายเงินออกไปเพื่อลงทุนซื้อสิ่งของต่างๆ
.
กลุ่มสุดท้ายในงบกระแสเงินสดคือ กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน ได้แก่ รายรับรายจ่ายทั้งหลายที่เกี่ยวกับเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นของบริษัท เช่น เงินกู้รับ เงินจ่ายคืนหนี้ เงินปันผล เงินเพิ่มทุนรับ เป็นต้น รายการเหล่านี้ถูกแยกออกมาอีกหมวดหนึ่งต่างหากก็เพราะไม่ได้เกิดจากการทำ ธุรกิจ บางบริษัทอาจมีกระแสเงินสดดี เยี่ยม เพราะว่ากู้แหลก หรือเจ้าของรวยใส่เงินอุดตัวแดงเข้ามาเรื่อยๆ แต่ที่จริงแล้วตัวธุรกิจเองขาดทุนย่อยยับไม่ทำเงิน
.
โดยมากแล้วเวลาดูงบกระแสเงินสด ผมก็เพียงแต่ดูกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานว่าเป็นบวกและไปในทิศทางเดียว กันกับกำไรสุทธิในวบกำไรขาดทุนหรือไม่ บางคนบอกว่า กระแสเงินสดดำเนินงานบวกกระแสเงินสดลงทุนจะต้องเป็นบวกด้วย แต่สำหรับผมคิดว่าไม่จำเป็น เพราะถ้าหากธุรกิจมีโอกาสในการเติบโตสูง บริษัทอาจลงทุนมากกว่ากระแสเงินสดที่ผลิตได้เอง ทำให้กระแสเงินสดติดลบ (ต้องอาศัยกระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินช่วย) แต่ไม่น่าห่วง เพราะเป็นการลงทุนเพิ่มการเติบโตในอนาคต (รายได้ของบริษัทควรเติบโตสูงด้วยจึงจะน่าเชื่อถือ) เว้นแต่ว่า เราไม่เชื่อว่าธุรกิจนี้จะเติบโตได้อีกและควรที่จะจ่ายเงินสดออกมาตอบแทนผู้ ถือหุ้น (ปันผล) มากกว่าที่จะนำเงินกลับไปลงทุนเพิ่มในธุรกิจอีก
.
ตัวเลขอีกตัวหนึ่งที่มีประโยชน์กับเราในงบกระแสเงินสดคือ “ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจ่าย” เพราะเป็นตัวเลขที่ทำให้เรารู้ว่า ในรอบบัญชีนั้นบริษัทได้ตัดจ่ายค่าเสื่อมไปเป็นค่าใช้จ่ายเท่าไร ส่วนใหญ่แล้วตัวเลขนี้มักอยู่ในบรรทัดต่อจากกำไรสุทธิในกลุ่มกระแสเงินสด ดำเนินงาน ถ้าเราเอา EBIT ในงบกำไรขาดทุนมาบวกกลับด้วยตัวเลขนี้จะได้เป็นสิ่งที่เรียกว่า EBITDA ซึ่งนักวิเคราะห์นิยมนำมาใช้เป็นตัวแทนของ “กำไรที่เป็นเงินสด” ของบริษัท บางคนนิยมมอง EBITDA มากกว่า EBIT เพราะค่าเสื่อมเป็นอะไรที่เกี่ยวกับนโยบายทางบัญชีมาก อาจเป็นช่องโหว่ของการตบตานักลงทุนได้ ทำให้ได้ภาพที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับผลประกอบการในงวดปัจจุบัน การเอาค่าเสื่อมออกไปแล้วดูเฉพาะ EBITDA แทนอาจได้ภาพที่ดูสะอาดกว่า บางคนเรียก EBITDA ว่า Earnings before I tricked dumb analysts (แต่จริงๆ EBITDA ก็มีข้อเสียในแง่อื่นด้วย ดูประกอบไปทั้งสองอย่างนั้นแหละชัวร์กว่า)
.
นี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งด้วยที่ทำให้ผมสนใจ ตัวเลขรายได้ในงบการเงินมากกว่าตัวเลขอื่นเพราะมันเป็นตัวเลขในบรรทัดเริ่ม ต้น (topline) ที่ยังไม่ได้ผ่านการถูกบิดเบือนโดยนโยบายบัญชีมากนัก ยิ่ง ตัวเลขที่อยู่ต่ำลงมาในงบการเงินเท่าไรมันก็ยิ่งถูกบิดเบือนได้ง่ายด้วย นโยบายทางบัญชีต่างๆ กำไรสุทธิที่เราสนใจกันมากที่สุดนั้นอยู่ในบรรทัดสุดท้าย (bottom line) ของงบการเงินเลย จึงไม่รู้ว่าตลอดทางที่ผ่านมาในแต่ละบรรทัดมันถูกบิดเบือนโดยตัวเลขในบรรทัด บนๆ ไปมากขนาดไหนแล้ว
.
####
.
งบการเงินสำหรับนักลงทุน (5/5) : ratio analysis
.
Thursday, 25 November 2010
.
วิธีตรวจงบการเงินที่ง่ายที่สุดคือ การวัดอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ หรือที่เรียกว่า Ratio Analysis อัตราส่วนทางการเงินนั้นมีอยู่ด้วยกันมากมายหลายตัวมาก เราอาจตรวจดูอัตราส่วนหลายๆตัวพร้อมกัน เพื่อเป็นการตรวจสุขภาพโดยทั่วไปของบริษัทก็ได้ ต่อไปนี้เป็นอัตราส่วนสำคัญ 6 ตัว ที่ผมแนะนำให้ลองตรวจสอบดูก็จะได้ภาพของธุรกิจที่ครอบคลุมพอสมควร
.
1. Quick Ratio = (เงินสดและเทียบเท่า + ลูกหนี้การค้า + ตราสารการเงินระยะสั้น) / หนี้สินหมุนเวียน
.
Quick Ratio ใช้เช็ค “สภาพคล่อง” ของบริษัท โดยลองสมมติว่าถ้าเจ้าหนี้ระยะสั้น (หนี้สินหมุนเวียน) ทั้งหมดมาทวงหนี้พร้อมกัน บริษัทจะยังสามารถหมุนเงินสด (จากสินทรัพย์หมุนเวียนที่หมุนได้เร็ว) มาใช้คืนได้หรือไม่ โดยสามัญสำนึก Quick Ratio ก็ควรมากกว่า 1.0 และยิ่งมากก็ยิ่งดี ที่จริงแล้วมีอัตราส่วนอีกตัวที่คล้ายกันชื่อ Current Ratio ซึ่งนับรวมสินทรัพย์หมุนเวียนทั้งหมดของบริษัทว่าเป็นสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็ว แต่ ผมไม่ชอบ เพราะไม่รู้ว่าสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นๆ คืออะไรบ้าง และเวลาบริษัทขาดสภาพคล่องส่วนใหญ่แล้วสินค้าคงคลังมักจะหมุนไม่ค่อยออก เลยชอบดู Quick Ratio มากกว่าครับ
.
2. Return on Assets (ROA) = EBIT * (1-Taxrate) / สินทรัพย์เฉลี่ย
.
สินทรัพย์เฉลี่ย ROA ใช้วัดผลตอบแทนของธุรกิจ เพราะวัดกำไร(EBIT)ที่ทำได้ เทียบกับเงินทุนที่จมอยู่ในสินทรัพย์ทั้งหลายของกิจการ (ต้อง เฉลี่ยต้นปีกับท้ายปีเอา เพราะว่าไม่เท่ากัน) โปรดสังเกตว่า ผลตอบแทนของธุรกิจที่แท้จริงนั้นต้องวัดเทียบกับสินทรัพย์มิใช่รายได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ต้นทุนจริงๆของผู้ถือหุ้นคือเงินทุนที่จมอยู่ในรูปของสินทรัพย์ของบริษัทแทน ที่จะเอาเงินนั้นไปหาผลตอบแทนอย่างอื่น บางคนใช้ Net Income แทนกำไร แต่ผมคิดว่าควรใช้ EBIT มากกว่า เพราะสินทรัพย์เป็นของเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นรวมกัน แต่ Net Income เป็นผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเท่านั้น เพราะหักดอกเบี้ยออกไปแล้ว ส่วนเหตุที่ต้องคูณด้วย 1-TaxRate เป็นเพราะ EBIT นั้นยังไม่ได้หักภาษีซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทออก มีอัตราส่วนอีกตัวหนึ่งที่คล้ายกันคือ ROE ซึ่งวัดผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นอย่างเดียว แต่ ผมเห็นว่า ROA นั้นดีกว่า ROE เพราะธุรกิจอย่างเดียวกัน อาจมี ROE ต่างกันได้ด้วยการกู้เงิน ถ้าอยากวัดศักยภาพของธุรกิจจริงๆ โดยไม่เกี่ยวกับการกู้เงิน ต้องดูกันที่ ROA ธุรกิจทั่วไปควรมี ROA อย่างน้อย 10% เฉลี่ยในระยะยาว ยกเว้นพวกสถาบันการเงินซึ่งไม่มีทางทำ ROA สูงเท่ากับ Real Sector ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ดี
.
3. Debt to equity Ratio = (หนี้สิน) / ส่วนของทุน
.
ส่วนของทุน D/E ratio คือ อัตราส่วนมาตรฐานที่ใช้ตรวจดู Leverage ของบริษัท หมายความว่า บริษัทใช้หนี้มากขนาดไหนในการเร่งผลตอบแทน เพราะบริษัทสองบริษัทที่ทำผลตอบแทนทางธุรกิจได้เท่ากัน บริษัทที่มีหนี้มากกว่าจะทำผลตอบแทนกลับสู่ผู้ถือหุ้นได้สูงกว่า (ROE มากกว่า) เนื่องจากใช้เงินทุนของผู้ถือหุ้นน้อย แล้วอาศัยการกู้เงินมาทุนแทน การที่บริษัทมี D/E ratio ที่สูงเกินไป จึงแสดงถึงความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในผลตอบแทนที่มากกว่า เพราะถ้าธุรกิจสะดุด บริษัทที่มีหนี้มากกว่าย่อมเดือดร้อนมากกว่า อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทไม่มีหนี้เลยไม่ได้แปลว่าเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป บริษัทที่มีธุรกิจมั่นคงในระดับหนึ่งแล้ว และมีสินทรัพย์ถาวรที่สามารถใช้ค้ำประกันหนี้ได้ การมีหนี้น้อยเกินไปเท่ากับเป็นการละทิ้งโอกาสที่จะประหยัดภาษี เพราะหนี้เป็น Tax-shield อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นการมีหนี้บ้างไม่ใช่เรื่องเสียหาย อาจเป็นเรื่องที่ควรกระทำเสียด้วยซ้ำ แต่ที่เราต้องระวังคือการมีหนี้มากจนเกินไปจนทำให้ธุรกิจเกิดความเสี่ยงมากกว่าที่จะช่วยทำให้ประหยัดภาษี สำหรับธุรกิจทั่วไปควรมี D/E ไม่เกิน 1.0 ถ้าเป็นธุรกิจซื้อมาขายไปอาจมี D/E ได้ถึง 3.0 ยกเว้นพวกสถาบันการเงินที่จะต้องมี D/E ที่สูงกว่านั้นมากครับ
.
4. Interest Coverage Ratio = (EBIT) / ดอกเบี้ยจ่าย
.
ดอกเบี้ยจ่าย Interest Coverage Ratio ใช้ประมาณความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งแหล่งเงินภายนอกบริษัท เพราะถ้าบริษัทมีภาระจ่ายดอกเบี้ยต่อปีน้อยกว่ากำไรที่ได้จากธุรกิจมากๆ บริษัทก็สามารถรับผิดชอบภาระดอกเบี้ยได้ด้วยผลกำไรจากธุรกิจเอง นับว่าเป็นความมั่นคงอย่างหนึ่งของธุรกิจในแง่ของสภาพคล่อง บริษัทที่มีค่านี้น้อยกว่า 2.0 แสดงว่าผลตอบแทนส่วนใหญ่ของธุรกิจตกอยู่ในมือเจ้าหนี้ แทนที่จะเป็นของผู้ถือหุ้น ซึ่งอาจแสดงถึงการกู้เงินที่มากเกินไปด้วย
.
5. Asset Turnover = (รายได้) / สินทรัพย์
.
สินทรัพย์ Asset Turnover ใช้วัด “ประสิทธิภาพ” ของธุรกิจ เพราะวัดว่าภายใต้สินทรัพย์ที่มีอยู่จำนวนหนึ่ง บริษัทสามารถสร้างรายได้ได้มากแค่ไหน ยิ่งสร้างรายได้ได้มากแสดงว่าสินทรัพย์ของบริษัทถูกนำไปใช้อย่างคุ้มค่า เพราะนำไปหมุนให้เปลี่ยนเป็นเงินได้เร็ว บางบริษัทขายของกำไรน้อยมาก แต่สินค้าหมุนเวียนเร็ว ก็สามารถสร้างผลตอบแทนทางธุรกิจที่สูงกว่าได้เหมือนกัน Asset Turnover จึงเป็นตัวเลขที่ไม่ควรมองข้าม ครั้ง หนึ่งผมเคยเปรียบเทียบมาร์จิ้นของบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันแล้วเห็นว่า เหมือนๆกันหมด แต่พอลองดู Asset Turnover ก็เห็นว่าแตกต่างกันมาก ทำให้ผมเกิดความสนใจบริษัทที่มี Asset Turnover สูงกว่าเพื่อน เพราะแสดงว่าจริงๆ แล้วบริษัทนี้ใช้สินทรัพย์ได้มีประสิทธิภาพมากกว่า แต่เวลาดูมาร์จิ้นแล้วไม่เห็นความแตกต่างเป็นเพราะลูกค้าของอุตสาหกรรมนี้ ค่อนข้างมีการเปรียบเทียบราคาสูงมาก ทำให้ไม่มีบริษัทไหนสามารถเอากำไรเกินตลาดได้ แล้วในที่สุดก็ทำให้ผมได้ค้นพบหุ้นชั้นยอดในเวลาต่อมา ถ้าเราดูแต่มาร์จิ้นเราจะไม่พบความแตกต่างตรงนี้ครับ
.
6. Inventory Turnover = (ต้นทุนสินค้าขาย) / สินค้าคงคลังเฉลี่ย
.
สินค้าคงคลัง เฉลี่ย อันนี้เหมือน Asset Turnover แต่วัดกันที่การหมุนสินค้าคงคลังอย่างเดียวเลย เป็นการเช็คว่าสินค้าของบริษัทหมุนเวียนดีหรือไม่ มี dead stock ที่อาจเสื่อมค่าในอนาคตได้เยอะหรือไม่ เป็นตัวเลขที่สำคัญมากสำหรับธุรกิจที่ขายสินค้าที่แตกต่าง เพราะแม้ว่าสินค้าที่แตกต่างมักจะทำมาร์จิ้นได้สูง แต่ถ้ามีส่วนที่ขายไม่ออกเยอะมาก (ซึ่งปกติต้องมีส่วนหนึ่งอยู่แล้ว) ถึงเวลาต้องมาตัดขาดทุนทิ้ง ทำให้สรุปแล้วอาจทำกำไรได้น้อยหรือขาดทุนเลยก็ได้ ถ้าเอา 365 ตั้งหารด้วย Inventory Turnover จะได้อัตราส่วนใหม่ที่เรียกว่า Days Inventory Turnover มีหน่วยเป็น วัน ซึ่งหมายถึงระยะเวลาโดยประมาณที่สินค้าของบริษัทจะค้างอยู่ในคลังก่อนที่จะ ทำยอดขายให้บริษัทได้ ถ้ายิ่งมีค่าน้อยก็แสดงว่าสินค้าซื้อง่ายขายคล่อง ขายได้แบบแทบไม่ต้องขนขึ้นบ้านเลย เป็นต้น
long
ขอเอาการเติบโตรายได้ของบางบริษัทในตลาดหุ้นในช่วงสิบปีล่าสุดมาให้ดูกัน นะครับ ภาพสิบปีไม่ใช่ภาพที่เราคิดถึงอยู่ทุกวัน เวลาที่เรามองหุ้นครับ
ผมจงใจเลือกหุ้นบิ๊กแค๊ปมาให้ดู หุ้นบิ๊กแค๊ปเป็นหุ้นที่นักลงทุนโดยทั่วไปมองว่าน่าเบื่อ โตยาก ราคาหุ้นมักขึ้นๆ ลงๆ ตาม SET Index ทำให้ไม่มีอะไรแตกต่างจากการซื้อดัชนีมากนัก
แต่ถ้าเอาภาพสิบปีมาดูจะเห็นว่า บนความเหมือนๆ กันในระยะสั้นนั้น หุ้นบิ๊กแค๊ปแต่ละตัวมีภาพการเติบโตในระยะสิบปีที่แตกต่างกันได้เป็นอย่าง มาก
หุ้นบิ๊กแคปที่ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวตามเซ็ตเหมือนๆ กันนั้น บางตัวเมื่อสิบปีที่แล้วมันแกว่งอยู่แถวๆ 2-4 บาท สิบปีต่อมามันก็ยังแกว่งอยู่แถวๆ 2-4 บาทเหมือนเดิม (แบบนี้ถือทิ้งไว้คงไม่ได้อะไร) แต่บางตัวสิบปีก่อนมันอาจแกว่งอยู่แถว 2-4 บาท แต่พอสิบปีผ่านไป มันก็ยังคงแกว่งตามเซ็ตอยู่เหมือนเดิม แต่ช่วงที่มันแกว่งอาจกลายเป็นแถว 20-40 บาทไปแล้ว นั่นก็เพราะขนาดธุรกิจของมันเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อสิบปีที่แล้วอย่างมากนั่น เอง
คนที่ลงทุนแบบระยะยาวจึงต้องมองข้ามภาพการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะ สั้นให้ได้ เพราะในระยะสั้นอิทธิพลของตลาดมีผลต่อราคาหุ้นมากกว่าปัจจัยพื้นฐานของหุ้น แต่ละตัวมาก เราต้องแยกให้ออกว่า หุ้นที่ดูจะผันผวนตามเซ็ตเหมือนๆ กันนั้น ตัวไหนบ้างที่จะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต เพราะขนาดของธุรกิจที่มีการเติบโตได้แบบมีนัยสำคัญ
ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ การเติบโตของธุรกิจมักไม่ได้เป็นเส้นตรงที่มีความชันคงที่ไปตลอด แต่มักเติบโตสูงเป็นพักๆ สลับกับช่วงหยุดนิ่ง เพราะธุรกิจอาจเจอกำแพงของการเติบโตในบางช่วง ทำให้ดูเหมือนหยุดโตแล้ว แต่เมื่อบริษัทสามารถทำลายกำแพงระยะสั้นเหล่านั้นลงได้สำเร็จ มันก็จะกลับมาเติบโตอีกจนกระทั้งชนเข้ากับกำแพงตัวใหม่ เป็นอย่างนี้เรื่อยไป ตราบเท่าที่ศักยภาพในการเติบโตที่แท้จริงของมันยังไม่หมด ฉะนั้นการที่บางบริษัทอาจมีรายได้ที่หยุดโตในบางช่วง จึงไม่ได้หมายความว่าพวกมันเติบโตไม่ได้แล้วเสมอไป ที่จริงแล้วถ้าคุณเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นที่มีฐานธุรกิจที่มั่นคงแล้วสักหน่อย การที่ราคาหุ้นร่วงลงเพราะกำไรลดลงในระยะสั้นนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว โดยมากมักเป็นโอกาสด้วยซ้ำ รอสักนิดหน่อย บริษัทที่มีฐานธุรกิจที่มั่นคงระดับหนึ่งโดยมากมักจะกลับมาที่เดิม หรือกลับมาโตต่อได้
สำหรับพอร์ตที่ลงทุนแบบสะสมไปเรื่อยๆ ในระยะยาวอย่างเช่น พอร์ต 7LTG นั้น ถ้าหุ้นที่ซื้อสะสมจะมีกำไรลดลงหรือเติบโตหยุดนิ่งบ้างในบางช่วงบางเวลาย่อม ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว หรือจำเป็นจะต้องปรับหุ้นเหล่านั้นออกแต่อย่างใด เพราะตราบใดที่หุ้นเหล่านั้นยังสามารถกลับมาสร้างจุดสูงสุดเดิมได้อีกอยู่ เรื่อยๆ การสะสมหุ้นเหล่านั้นย่อมไม่ทำให้ขาดทุน การถอยกลับชั่วคราวกลับเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่จะได้สะสมของถูก หุ้นที่ต้องระวังจริงๆ จึงไม่ใช่หุ้นที่มีผลประกอบที่ผันผวน แต่เป็นหุ้นที่ธุรกิจของมันหมดอนาคตไปแล้วโดยถาวร เป็นการยากที่จะกลับมาสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้อีก ถ้าคิดว่าหุ้นตัวไหนเป็นเช่นนั้น ถึงจำเป็นต้องปรับออกครับ
ความเสี่ยงของการลงทุนแบบระยะยาวไม่ใช่ความผันผวนของราคาหุ้น หรือแม้แต่ความผันผวนของผลประกอบการ เพราะนั่นเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ แต่ความเสี่ยงของการลงทุนแบบระยะยาวคือการเลือกลงทุนในธุรกิจที่ไม่มี ศักยภาพแล้วครับ
ผมจงใจเลือกหุ้นบิ๊กแค๊ปมาให้ดู หุ้นบิ๊กแค๊ปเป็นหุ้นที่นักลงทุนโดยทั่วไปมองว่าน่าเบื่อ โตยาก ราคาหุ้นมักขึ้นๆ ลงๆ ตาม SET Index ทำให้ไม่มีอะไรแตกต่างจากการซื้อดัชนีมากนัก
แต่ถ้าเอาภาพสิบปีมาดูจะเห็นว่า บนความเหมือนๆ กันในระยะสั้นนั้น หุ้นบิ๊กแค๊ปแต่ละตัวมีภาพการเติบโตในระยะสิบปีที่แตกต่างกันได้เป็นอย่าง มาก
หุ้นบิ๊กแคปที่ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวตามเซ็ตเหมือนๆ กันนั้น บางตัวเมื่อสิบปีที่แล้วมันแกว่งอยู่แถวๆ 2-4 บาท สิบปีต่อมามันก็ยังแกว่งอยู่แถวๆ 2-4 บาทเหมือนเดิม (แบบนี้ถือทิ้งไว้คงไม่ได้อะไร) แต่บางตัวสิบปีก่อนมันอาจแกว่งอยู่แถว 2-4 บาท แต่พอสิบปีผ่านไป มันก็ยังคงแกว่งตามเซ็ตอยู่เหมือนเดิม แต่ช่วงที่มันแกว่งอาจกลายเป็นแถว 20-40 บาทไปแล้ว นั่นก็เพราะขนาดธุรกิจของมันเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อสิบปีที่แล้วอย่างมากนั่น เอง
คนที่ลงทุนแบบระยะยาวจึงต้องมองข้ามภาพการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะ สั้นให้ได้ เพราะในระยะสั้นอิทธิพลของตลาดมีผลต่อราคาหุ้นมากกว่าปัจจัยพื้นฐานของหุ้น แต่ละตัวมาก เราต้องแยกให้ออกว่า หุ้นที่ดูจะผันผวนตามเซ็ตเหมือนๆ กันนั้น ตัวไหนบ้างที่จะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต เพราะขนาดของธุรกิจที่มีการเติบโตได้แบบมีนัยสำคัญ
ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ การเติบโตของธุรกิจมักไม่ได้เป็นเส้นตรงที่มีความชันคงที่ไปตลอด แต่มักเติบโตสูงเป็นพักๆ สลับกับช่วงหยุดนิ่ง เพราะธุรกิจอาจเจอกำแพงของการเติบโตในบางช่วง ทำให้ดูเหมือนหยุดโตแล้ว แต่เมื่อบริษัทสามารถทำลายกำแพงระยะสั้นเหล่านั้นลงได้สำเร็จ มันก็จะกลับมาเติบโตอีกจนกระทั้งชนเข้ากับกำแพงตัวใหม่ เป็นอย่างนี้เรื่อยไป ตราบเท่าที่ศักยภาพในการเติบโตที่แท้จริงของมันยังไม่หมด ฉะนั้นการที่บางบริษัทอาจมีรายได้ที่หยุดโตในบางช่วง จึงไม่ได้หมายความว่าพวกมันเติบโตไม่ได้แล้วเสมอไป ที่จริงแล้วถ้าคุณเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นที่มีฐานธุรกิจที่มั่นคงแล้วสักหน่อย การที่ราคาหุ้นร่วงลงเพราะกำไรลดลงในระยะสั้นนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว โดยมากมักเป็นโอกาสด้วยซ้ำ รอสักนิดหน่อย บริษัทที่มีฐานธุรกิจที่มั่นคงระดับหนึ่งโดยมากมักจะกลับมาที่เดิม หรือกลับมาโตต่อได้
สำหรับพอร์ตที่ลงทุนแบบสะสมไปเรื่อยๆ ในระยะยาวอย่างเช่น พอร์ต 7LTG นั้น ถ้าหุ้นที่ซื้อสะสมจะมีกำไรลดลงหรือเติบโตหยุดนิ่งบ้างในบางช่วงบางเวลาย่อม ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว หรือจำเป็นจะต้องปรับหุ้นเหล่านั้นออกแต่อย่างใด เพราะตราบใดที่หุ้นเหล่านั้นยังสามารถกลับมาสร้างจุดสูงสุดเดิมได้อีกอยู่ เรื่อยๆ การสะสมหุ้นเหล่านั้นย่อมไม่ทำให้ขาดทุน การถอยกลับชั่วคราวกลับเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่จะได้สะสมของถูก หุ้นที่ต้องระวังจริงๆ จึงไม่ใช่หุ้นที่มีผลประกอบที่ผันผวน แต่เป็นหุ้นที่ธุรกิจของมันหมดอนาคตไปแล้วโดยถาวร เป็นการยากที่จะกลับมาสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้อีก ถ้าคิดว่าหุ้นตัวไหนเป็นเช่นนั้น ถึงจำเป็นต้องปรับออกครับ
ความเสี่ยงของการลงทุนแบบระยะยาวไม่ใช่ความผันผวนของราคาหุ้น หรือแม้แต่ความผันผวนของผลประกอบการ เพราะนั่นเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ แต่ความเสี่ยงของการลงทุนแบบระยะยาวคือการเลือกลงทุนในธุรกิจที่ไม่มี ศักยภาพแล้วครับ
7/11/2554
Stock Market Roller Closter
ระหว่างการติดดอยกับการตกรถไฟ อะไรน่ากลัวกว่ากัน? เป็นปัญหาโลกแตกที่นักลงทุนพูดถึงกันมานานแล้ว…
ในหนังสือ The Snowball บัฟเฟต อธิบายว่า มีอยู่เพียงสามกรณีเท่านั้นที่ภาคธุรกิจโดยรวมจะสามารถให้ผลตอบแทนกับเจ้า ของได้มากกว่า 10% ต่อปีได้อย่างยั่งยืน หนึ่งคือ อัตราดอกเบี้ยต้องลดต่ำลงอย่างมากเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง สองคือ ผลตอบแทนของธุรกิจจะต้องถูกปันส่วนให้กับผู้ถือหุ้นเมื่อเทียบกับลูกจ้างและ กรมสรรพากรเพิ่มขึ้นกว่าปกติได้อย่างต่อเนื่อง และสามคือ เศรษฐกิจจะต้องเติบโตได้สูงกว่าศักยภาพที่แท้จริงของมันเป็นเวลานานๆ
บัฟเฟตกล่าวว่า การที่นักลงทุนจะคาดหวังกับสามสิ่งนี้ว่าจะเกิดขึ้นนั้น เป็นความคาดหวังที่มีโอกาสเป็นไปได้น้อย
เช่นนี้แล้ว เวลาที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสูงกว่า 10% ต่อเนื่องกันหลายปี สุดท้ายแล้วความต่อเนื่องนั้นมักจะไม่ยั่งยืนในที่สุด ถึงจุดหนึ่ง ตลาดหุ้นจะต้องถอยกลับลงมาใหม่จนทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาวของมันยังคง เป็นไปตามศักยภาพที่แท้จริงที่เป็นไปได้คือ 10% ต่อปี ดังนั้น เราจึงไม่มีความจำเป็นต้องกลัวตกรถไฟ ที่สุดแล้ว รถไฟจะกลับมาเราเสมอ
แต่บ่อยครั้งที่การเพิ่มขึ้นของ ราคาหุ้นอย่างต่อเนื่องทั้งที่หุ้นมีราคาแพงอยู่แล้วทำให้เราหวั่นไหว ในที่สุดเราก็ซื้อแพงจนได้เพราะกลัวจะไม่มีโอกาสได้ซื้ออีก สุดท้ายเมื่อ Market Correction มาถึงโดยไม่คาดฝัน เราก็พลาดโอกาสที่จะได้ซื้อหุ้นในราคาที่ถูกกว่าเดิม เพราะเราไม่มีเงินเหลือแล้วทุกที
สิ่งที่ยากคือ โดยมากกว่าที่ตลาดจะเกิด Correction นั้นมักกินเวลานานมาก จนยากที่ปุถุชนคนไหนจะอดทนรอได้ไหว ช่วงตลาดหุ้นฟองสบู่ยุคน้าชาติ ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงกว่า 20% ต่อปีติตต่อกันทุกปีถึง 5 ปี ใครที่ซื้อไม่ทันก็ยากที่จะอดใจไม่กระโดดเข้าไปซื้อในที่สุด เพราะราคาที่แพงขึ้นให้เห็นอีกเรื่อยๆ ปีแล้วปีเล่านั่นเกินห้ามใจเหลือเกิน
เมื่อทุกคนค่อยๆยอมกัดฟันซื้อของ แพงมากขึ้นเรื่อยๆ ราคาหุ้นก็ยิ่งปรับตัวขึ้นได้อีกอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สุดท้ายแล้ว ฟองสบู่ก็ต้องแตกในที่สุด เมื่อฟองสบู่แตกแล้ว หุ้นกลับมีราคาถูกกว่าห้าปีที่แล้วอย่างมากและรอให้ทุกคนซื้ออยู่ แต่ทุกคนก็ไม่มีเงินเหลือแล้ว ใครที่ยังมีเงินเหลืออยู่ตอนนั้นก็ได้ของถูกไปในที่สุด
เมื่อก่อนนี้ ผมคิดว่าทักษะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ขาดคือความอดทนในการถือหุ้นเป็นเวลานานๆ แต่เดี๋ยวนี้ผมคิดว่าทักษะนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ยากมากนัก เวลาเราซื้อหุ้นแล้วขาดทุนหนัก เราจะรู้สึกอยากถือยาวๆได้เอง ที่จริงแล้วทักษะที่ยากกว่าการถือยาวมากคือ ทักษะในการอดทนรอที่จะไม่ซื้อหุ้นเมื่อราคายังไม่เหมาะสม คนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นมักไม่มีทักษะนี้ ดังนั้น ใครที่สามารถฝึกฝนจิตใจของตนจนมีทักษะที่สำคัญอันนี้ถือเป็นความได้เปรียบ อย่างยิ่ง
ในรอบหลายๆปี วอเรน บัฟเฟต ถึงจะลุกขึ้นมาช้อปปิ้งครั้งใหญ่สักครั้งหนึ่ง ในตลาดหุ้นมีน้กลงทุนจำนวนน้อยมากๆที่อดทนที่จะไม่ซื้ออะไรเลยเป็นปีๆได้ มันเป็นการรอคอยที่ทรมาน (กระเป๋าร้อน)
คิดไว้เสมอว่าอย่ากลัวตกรถไฟ เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่ามันจะวิ่งไปไกลมากแค่ไหน มันจะกลับมารับเราอีกเสมอ ขอให้เรามีความสามารถในการรอคอย
Credit:นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์
http://dekisugi.net/
ในหนังสือ The Snowball บัฟเฟต อธิบายว่า มีอยู่เพียงสามกรณีเท่านั้นที่ภาคธุรกิจโดยรวมจะสามารถให้ผลตอบแทนกับเจ้า ของได้มากกว่า 10% ต่อปีได้อย่างยั่งยืน หนึ่งคือ อัตราดอกเบี้ยต้องลดต่ำลงอย่างมากเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง สองคือ ผลตอบแทนของธุรกิจจะต้องถูกปันส่วนให้กับผู้ถือหุ้นเมื่อเทียบกับลูกจ้างและ กรมสรรพากรเพิ่มขึ้นกว่าปกติได้อย่างต่อเนื่อง และสามคือ เศรษฐกิจจะต้องเติบโตได้สูงกว่าศักยภาพที่แท้จริงของมันเป็นเวลานานๆ
บัฟเฟตกล่าวว่า การที่นักลงทุนจะคาดหวังกับสามสิ่งนี้ว่าจะเกิดขึ้นนั้น เป็นความคาดหวังที่มีโอกาสเป็นไปได้น้อย
เช่นนี้แล้ว เวลาที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสูงกว่า 10% ต่อเนื่องกันหลายปี สุดท้ายแล้วความต่อเนื่องนั้นมักจะไม่ยั่งยืนในที่สุด ถึงจุดหนึ่ง ตลาดหุ้นจะต้องถอยกลับลงมาใหม่จนทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาวของมันยังคง เป็นไปตามศักยภาพที่แท้จริงที่เป็นไปได้คือ 10% ต่อปี ดังนั้น เราจึงไม่มีความจำเป็นต้องกลัวตกรถไฟ ที่สุดแล้ว รถไฟจะกลับมาเราเสมอ
แต่บ่อยครั้งที่การเพิ่มขึ้นของ ราคาหุ้นอย่างต่อเนื่องทั้งที่หุ้นมีราคาแพงอยู่แล้วทำให้เราหวั่นไหว ในที่สุดเราก็ซื้อแพงจนได้เพราะกลัวจะไม่มีโอกาสได้ซื้ออีก สุดท้ายเมื่อ Market Correction มาถึงโดยไม่คาดฝัน เราก็พลาดโอกาสที่จะได้ซื้อหุ้นในราคาที่ถูกกว่าเดิม เพราะเราไม่มีเงินเหลือแล้วทุกที
สิ่งที่ยากคือ โดยมากกว่าที่ตลาดจะเกิด Correction นั้นมักกินเวลานานมาก จนยากที่ปุถุชนคนไหนจะอดทนรอได้ไหว ช่วงตลาดหุ้นฟองสบู่ยุคน้าชาติ ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงกว่า 20% ต่อปีติตต่อกันทุกปีถึง 5 ปี ใครที่ซื้อไม่ทันก็ยากที่จะอดใจไม่กระโดดเข้าไปซื้อในที่สุด เพราะราคาที่แพงขึ้นให้เห็นอีกเรื่อยๆ ปีแล้วปีเล่านั่นเกินห้ามใจเหลือเกิน
เมื่อทุกคนค่อยๆยอมกัดฟันซื้อของ แพงมากขึ้นเรื่อยๆ ราคาหุ้นก็ยิ่งปรับตัวขึ้นได้อีกอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สุดท้ายแล้ว ฟองสบู่ก็ต้องแตกในที่สุด เมื่อฟองสบู่แตกแล้ว หุ้นกลับมีราคาถูกกว่าห้าปีที่แล้วอย่างมากและรอให้ทุกคนซื้ออยู่ แต่ทุกคนก็ไม่มีเงินเหลือแล้ว ใครที่ยังมีเงินเหลืออยู่ตอนนั้นก็ได้ของถูกไปในที่สุด
เมื่อก่อนนี้ ผมคิดว่าทักษะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ขาดคือความอดทนในการถือหุ้นเป็นเวลานานๆ แต่เดี๋ยวนี้ผมคิดว่าทักษะนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ยากมากนัก เวลาเราซื้อหุ้นแล้วขาดทุนหนัก เราจะรู้สึกอยากถือยาวๆได้เอง ที่จริงแล้วทักษะที่ยากกว่าการถือยาวมากคือ ทักษะในการอดทนรอที่จะไม่ซื้อหุ้นเมื่อราคายังไม่เหมาะสม คนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นมักไม่มีทักษะนี้ ดังนั้น ใครที่สามารถฝึกฝนจิตใจของตนจนมีทักษะที่สำคัญอันนี้ถือเป็นความได้เปรียบ อย่างยิ่ง
ในรอบหลายๆปี วอเรน บัฟเฟต ถึงจะลุกขึ้นมาช้อปปิ้งครั้งใหญ่สักครั้งหนึ่ง ในตลาดหุ้นมีน้กลงทุนจำนวนน้อยมากๆที่อดทนที่จะไม่ซื้ออะไรเลยเป็นปีๆได้ มันเป็นการรอคอยที่ทรมาน (กระเป๋าร้อน)
คิดไว้เสมอว่าอย่ากลัวตกรถไฟ เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่ามันจะวิ่งไปไกลมากแค่ไหน มันจะกลับมารับเราอีกเสมอ ขอให้เรามีความสามารถในการรอคอย
Credit:นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์
http://dekisugi.net/
นิสัยในการลงทุน
คุณว่าความสามารถในการเลือกหุ้นให้ถูกตัวมีความสำคัญมากแค่ไหนต่อผลงานการลงทุน?
หลาย คนจะเชื่อว่าสำคัญที่สุดเลยทีเดียว เวลาที่เราคิดอย่างนี้ เราจะไม่กล้าเลือกหุ้นด้วยตัวเอง เพราะเรามีความรู้สึกว่าเราเลือกหุ้นไม่เก่ง ผิดบ่อย เราจะเริ่มหาที่พึ่งพิงภายนอก เราจะมองหาใครสักคนที่มีอะไรสักอย่างที่ทำให้เราเชื่อว่าคนๆ นี้น่าจะเป็นที่พึ่งของเราเรื่องการเลือกหุ้นได้ จากนั้นเราก็จะเริ่ม shutdown สมองของเราเอง แล้วหันไปซื้อตาม "กูรูหุ้น" แทน
เวลาคุณ เล่นหมากรุกกับแชมป์โลก โอกาสที่คุณจะชนะแชมป์โลกนั้นแทบจะไม่มีเลย แต่สำหรับการลงทุนแล้ว ต่อให้คนที่เชี่ยวที่สุดก็ยังทำผลงานได้ไม่ดีนัก กูรูหุ้นระดับตำนานเลือกหุ้นถูกต้องได้เพียง 60-65% เท่านั้น เพราะการวิเคราะห์การลงทุนเป็นศาสตร์ที่มีความไม่แน่นอนมาเกี่ยวข้องสูงมาก ในเวลาเดียวกัน คนธรรมดาทั่วไปจะเลือกหุ้นได้ถูกต้องในระดับ 45-55% (ถ้าต่ำกว่านี้จะถือว่าเก่งมาก เพราะแค่ทำตรงข้ามกับที่คิดก็จะรวยไม่รู้เรื่องได้) การเลือกหุ้นเป็นศาสตร์ที่คนเก่งที่สุดกับคนที่แย่ที่สุดไม่ได้ต่างกันอย่าง ชัดเจน
ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยพบใครที่เลือกหุ้นได้ถูกต้องตลอด เวลาเลย (ยกเว้นคนที่ชอบคุยทีหลังว่าทายถูก) ต่อให้เรามองได้เก่งแค่ไหนก็มักจะมีอะไรที่ไม่คาดฝันเข้ามาอยู่เสมอ วอเรน บัฟเฟต เพิ่งจะพลาด เพราะประเมินวิกฤตสถาบันการเงินต่ำไป ช่วงแรกๆ เขาบอกว่า ตลาด"คิดไปเอง"ว่าสถาบันการเงินจะมีปัญหารุนแรง แต่ตอนนี้เขาก็ออกมายอมรับแล้วว่าวิกฤตครั้งนี้จะรุนแรงมาก จิม โรเจอร์ ก็พลาดหนักเพราะบอกว่าคอมโมดิตี้จะยังไปได้อีกสิบเท่า ส่วน จอร์จ โซรอส แม้ว่าจะทายถูกว่าปัญหาซับไพร์มทำจะทำให้เกิด Global Recession แต่เขาก็เพิ่งจะขาดทุนหนักจากการเข้าไปเก็งกว่าดอลล่าร์จะอ่อนลงเรื่อยๆ จะเห็นได้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนมากๆ ไม่ได้เป็นคนที่คิดถูกตลอดเวลา
ที่จริงแล้วมีอะไรบางอย่างที่มีผล ต่อความสำเร็จมากกว่าการเลือกหุ้นมาก ตัวอย่างเช่น คนที่เลือกหุ้นถูกแค่ 4 ใน 10 ครั้งอาจจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าคนที่เลือกหุ้นถูก 6 ใน 10 ครั้งก็ได้ เพราะถ้าคนที่เลือกหุ้นถูก 4 ใน 10 ครั้งเลือกจัดสรรเงินส่วนใหญ่ของเขาไว้ในตัวที่เขาเลือกได้ถูก เขาขาดทุนน้อยไปกับตัวที่เขาคิดผิด ในขณะที่ คนที่เลือกหุ้นถูก 6 ใน 10 ครั้งแต่มีนิสัยชอบซื้อเฉลี่ยขาลง เลยทำให้เงินส่วนใหญ่ของเขาจมอยู่ในหุ้น 4 ตัวที่เลือกผิดเพราะราคาหุ้นเหล่านั้นร่วงลงไปเรื่อยๆ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า นิสัยในการลงทุนก็มีอิทธิพลต่อผลตอบแทนของเรามาก ที่สำคัญ "นิสัยการลงทุน" เป็นเรื่องที่ฝึกฝนได้และมีความแน่นอนมากกว่า คนที่มีนิสัยการลงทุนที่ดีจะเอาตัวรอดจากการขาดทุนใหญ่ๆ ได้ทุกครั้ง ต่างกับคนที่มีนิสัยการลงทุนที่ไม่ดี (ตัวอย่างนิสัยการลงทุนที่ไม่ดีก็เช่น chasing stock price, ชอบซื้อเฉลี่ยขาลง, ทุ่มสุดตัวกับหุ้นตัวเดียว, ขายหมูเร็วบ่อยๆ เป็นต้น) คนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนส่วนใหญ่มักเป็นคนที่มีนิสัยการลงทุนที่ดี มากกว่าที่จะเป็นคนเลือกหุ้นได้ถูกต้อง พวกเขาเหล่านี้ค่อยๆ บ่มเพาะนิสัยการลงทุนที่ดีของตัวเองขึ้นมาด้วยประสบการณ์และการนำข้อผิดพลาด ในอดีตของตัวเองมาปรับปรุงนิสัยอยู่เสมอ
ถ้าเราเชื่อว่า Stock Selection is Everything เราก็จะเลิกนิสัยวิ่งตามเซียนของเราเสียได้ ผมเคยเห็นคนมากมายที่อุทิศชีวิตให้กับการสืบว่าเซียนซื้อหุ้นอะไรอยู่ พวกเขาใช้ความพยายามสูงมาก แต่ผมก็ยังไม่เคยเห็นคนเหล่านั้นประสบความสำเร็จเลย พวกเขาอาจได้กำไรในบางครั้ง แต่รวมๆ แล้วมักไม่ประสบความสำเร็จทั้งที่เขาซื้อหุ้นตัวเดียวกันกับเซียนทุกตัว ผมสังเกตว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนมีแนวคิดที่ต่างกันหลายแบบแต่ "ทุกคน" กลับมีลักษณะที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ เป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง พวกเขาชอบเลือกหุ้นด้วยตัวเองไม่ลอกเลียนแบบใครทั้งนั้น ส่วนใหญ่พวกเขาก็เลือกหุ้นผิดบ้างถูกบ้างเหมือนๆ กับเรานั่นแหละ แต่ "นิสัยการลงทุน" ของเขาต่างหากที่ดีกว่าเราพวกเขาจึงประสบความสำเร็จ ผมชอบคำพูดของ Ken Heebner ที่บอกว่า "ผมไม่ได้ประสบความสำเร็จเพราะคิดถูกบ่อยกว่าคนอื่น แต่จุดแข็งของผมอยู่ที่ ผมสามารถยอมรับความผิดพลาดของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว และไม่เคยถล่ำลึกลงไปในความผิดนั้น" ไม่มีใครที่เลือกหุ้นได้ถูกตลอดเวลา เขาประสบความสำเร็จโดยอาศัยการมีนิสัยการลงทุนที่ดี
ถ้าคุณพยายาม เลือกหุ้นเองให้ดีที่สุด และลงทุนในหุ้นหลายตัว ผมรับรองว่า ความไม่แน่นอนของหุ้นจะช่วยทำให้ผลงานการเลือกหุ้นของคุณไม่แตกต่างไปจากของ กูรูหุ้นมากนักแน่นอนครับ เลือกหุ้นเองดีกว่าครับ สิ่งที่สำคัญมากกว่าการเลือกหุ้นคือ นิสัยการลงทุนของตัวคุณเอง
Credit: นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์
http://dekisugi.net
หลาย คนจะเชื่อว่าสำคัญที่สุดเลยทีเดียว เวลาที่เราคิดอย่างนี้ เราจะไม่กล้าเลือกหุ้นด้วยตัวเอง เพราะเรามีความรู้สึกว่าเราเลือกหุ้นไม่เก่ง ผิดบ่อย เราจะเริ่มหาที่พึ่งพิงภายนอก เราจะมองหาใครสักคนที่มีอะไรสักอย่างที่ทำให้เราเชื่อว่าคนๆ นี้น่าจะเป็นที่พึ่งของเราเรื่องการเลือกหุ้นได้ จากนั้นเราก็จะเริ่ม shutdown สมองของเราเอง แล้วหันไปซื้อตาม "กูรูหุ้น" แทน
เวลาคุณ เล่นหมากรุกกับแชมป์โลก โอกาสที่คุณจะชนะแชมป์โลกนั้นแทบจะไม่มีเลย แต่สำหรับการลงทุนแล้ว ต่อให้คนที่เชี่ยวที่สุดก็ยังทำผลงานได้ไม่ดีนัก กูรูหุ้นระดับตำนานเลือกหุ้นถูกต้องได้เพียง 60-65% เท่านั้น เพราะการวิเคราะห์การลงทุนเป็นศาสตร์ที่มีความไม่แน่นอนมาเกี่ยวข้องสูงมาก ในเวลาเดียวกัน คนธรรมดาทั่วไปจะเลือกหุ้นได้ถูกต้องในระดับ 45-55% (ถ้าต่ำกว่านี้จะถือว่าเก่งมาก เพราะแค่ทำตรงข้ามกับที่คิดก็จะรวยไม่รู้เรื่องได้) การเลือกหุ้นเป็นศาสตร์ที่คนเก่งที่สุดกับคนที่แย่ที่สุดไม่ได้ต่างกันอย่าง ชัดเจน
ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยพบใครที่เลือกหุ้นได้ถูกต้องตลอด เวลาเลย (ยกเว้นคนที่ชอบคุยทีหลังว่าทายถูก) ต่อให้เรามองได้เก่งแค่ไหนก็มักจะมีอะไรที่ไม่คาดฝันเข้ามาอยู่เสมอ วอเรน บัฟเฟต เพิ่งจะพลาด เพราะประเมินวิกฤตสถาบันการเงินต่ำไป ช่วงแรกๆ เขาบอกว่า ตลาด"คิดไปเอง"ว่าสถาบันการเงินจะมีปัญหารุนแรง แต่ตอนนี้เขาก็ออกมายอมรับแล้วว่าวิกฤตครั้งนี้จะรุนแรงมาก จิม โรเจอร์ ก็พลาดหนักเพราะบอกว่าคอมโมดิตี้จะยังไปได้อีกสิบเท่า ส่วน จอร์จ โซรอส แม้ว่าจะทายถูกว่าปัญหาซับไพร์มทำจะทำให้เกิด Global Recession แต่เขาก็เพิ่งจะขาดทุนหนักจากการเข้าไปเก็งกว่าดอลล่าร์จะอ่อนลงเรื่อยๆ จะเห็นได้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนมากๆ ไม่ได้เป็นคนที่คิดถูกตลอดเวลา
ที่จริงแล้วมีอะไรบางอย่างที่มีผล ต่อความสำเร็จมากกว่าการเลือกหุ้นมาก ตัวอย่างเช่น คนที่เลือกหุ้นถูกแค่ 4 ใน 10 ครั้งอาจจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าคนที่เลือกหุ้นถูก 6 ใน 10 ครั้งก็ได้ เพราะถ้าคนที่เลือกหุ้นถูก 4 ใน 10 ครั้งเลือกจัดสรรเงินส่วนใหญ่ของเขาไว้ในตัวที่เขาเลือกได้ถูก เขาขาดทุนน้อยไปกับตัวที่เขาคิดผิด ในขณะที่ คนที่เลือกหุ้นถูก 6 ใน 10 ครั้งแต่มีนิสัยชอบซื้อเฉลี่ยขาลง เลยทำให้เงินส่วนใหญ่ของเขาจมอยู่ในหุ้น 4 ตัวที่เลือกผิดเพราะราคาหุ้นเหล่านั้นร่วงลงไปเรื่อยๆ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า นิสัยในการลงทุนก็มีอิทธิพลต่อผลตอบแทนของเรามาก ที่สำคัญ "นิสัยการลงทุน" เป็นเรื่องที่ฝึกฝนได้และมีความแน่นอนมากกว่า คนที่มีนิสัยการลงทุนที่ดีจะเอาตัวรอดจากการขาดทุนใหญ่ๆ ได้ทุกครั้ง ต่างกับคนที่มีนิสัยการลงทุนที่ไม่ดี (ตัวอย่างนิสัยการลงทุนที่ไม่ดีก็เช่น chasing stock price, ชอบซื้อเฉลี่ยขาลง, ทุ่มสุดตัวกับหุ้นตัวเดียว, ขายหมูเร็วบ่อยๆ เป็นต้น) คนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนส่วนใหญ่มักเป็นคนที่มีนิสัยการลงทุนที่ดี มากกว่าที่จะเป็นคนเลือกหุ้นได้ถูกต้อง พวกเขาเหล่านี้ค่อยๆ บ่มเพาะนิสัยการลงทุนที่ดีของตัวเองขึ้นมาด้วยประสบการณ์และการนำข้อผิดพลาด ในอดีตของตัวเองมาปรับปรุงนิสัยอยู่เสมอ
ถ้าเราเชื่อว่า Stock Selection is Everything เราก็จะเลิกนิสัยวิ่งตามเซียนของเราเสียได้ ผมเคยเห็นคนมากมายที่อุทิศชีวิตให้กับการสืบว่าเซียนซื้อหุ้นอะไรอยู่ พวกเขาใช้ความพยายามสูงมาก แต่ผมก็ยังไม่เคยเห็นคนเหล่านั้นประสบความสำเร็จเลย พวกเขาอาจได้กำไรในบางครั้ง แต่รวมๆ แล้วมักไม่ประสบความสำเร็จทั้งที่เขาซื้อหุ้นตัวเดียวกันกับเซียนทุกตัว ผมสังเกตว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนมีแนวคิดที่ต่างกันหลายแบบแต่ "ทุกคน" กลับมีลักษณะที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ เป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง พวกเขาชอบเลือกหุ้นด้วยตัวเองไม่ลอกเลียนแบบใครทั้งนั้น ส่วนใหญ่พวกเขาก็เลือกหุ้นผิดบ้างถูกบ้างเหมือนๆ กับเรานั่นแหละ แต่ "นิสัยการลงทุน" ของเขาต่างหากที่ดีกว่าเราพวกเขาจึงประสบความสำเร็จ ผมชอบคำพูดของ Ken Heebner ที่บอกว่า "ผมไม่ได้ประสบความสำเร็จเพราะคิดถูกบ่อยกว่าคนอื่น แต่จุดแข็งของผมอยู่ที่ ผมสามารถยอมรับความผิดพลาดของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว และไม่เคยถล่ำลึกลงไปในความผิดนั้น" ไม่มีใครที่เลือกหุ้นได้ถูกตลอดเวลา เขาประสบความสำเร็จโดยอาศัยการมีนิสัยการลงทุนที่ดี
ถ้าคุณพยายาม เลือกหุ้นเองให้ดีที่สุด และลงทุนในหุ้นหลายตัว ผมรับรองว่า ความไม่แน่นอนของหุ้นจะช่วยทำให้ผลงานการเลือกหุ้นของคุณไม่แตกต่างไปจากของ กูรูหุ้นมากนักแน่นอนครับ เลือกหุ้นเองดีกว่าครับ สิ่งที่สำคัญมากกว่าการเลือกหุ้นคือ นิสัยการลงทุนของตัวคุณเอง
Credit: นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์
http://dekisugi.net
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)